Trip.com Group ประกาศศักดาความยิ่งใหญ่ ด้วยการทุ่มงบสูงถึง 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 3,258 ล้านบาท ในการจัดตั้งกองทุนนวัตกรรมเพื่อผลักดันการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยภายในงานนอกจากจะมีเหล่าพันธมิตรกว่า 3,000 รายจากทั่วโลกเข้าร่วมแล้ว ยังได้รับเกียรติจาก 'เจ้าชายแฮร์รี่' ดยุคแห่งซัสเซกซ์ ที่ขึ้นเวทีปราศัยในนามผู้ก่อตั้งองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร 'Travalyst' อีกด้วย
Trip.com Group กลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่จากจีนที่ก่อตั้งขึ้นนับตั้งแต่ปี 1999 และได้ทำการจดทะเบียนใน NASDAQ ในปี 2003 และ HKEX ในปี 2021 ถือเป็นผู้ให้บริการด้านการจองผลิตภัณฑ์และบริการด้านการท่องเที่ยวชั้นนำระดับโลกที่ประกอบด้วย Trip.com, Ctrip, Skyscanner และ Qunar เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่เหล่านักเดินทางได้อย่างชาญฉลาดและคุ้มต้นทุนผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น แอปพลิเคชัน, เว็บไซต์ ต่อเนื่องไปถึงศูนย์บริการลูกค้าที่พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงในทุกๆ วัน
โดยล่าสุด Trip.com Group ได้จัดงาน Envision 2025 Global Partner Conference ณ นครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน โดยทีมงานของ Forbes Thailand ยังได้รับเกียรติให้ร่วมเดินทางไปเป็น 1 ในผู้ร่วมงาน จากเหล่าผู้นำและพันธมิตรในวงการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลกที่เดินทางมาร่วมงานกว่า 3,000 คนในครั้งนี้ด้วย
James Liang ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานกลุ่มบริษัท Trip.com Group ได้ขึ้นกล่าวบนเวทีสำหรับการเปิดงาน โดยเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของนวัตกรรมในโลกยุคปัจจุบันที่มีผลต่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้ก้าวหน้าต่อไป ซึ่งเทคโนโลยีอันล้ำสมัยและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่สร้างสรรค์ออกมา นอกจากจะช่วยขับเคลื่อนประสิทธิภาพและยกระดับประสบการณ์ให้แก่ผู้ใช้งานแล้ว ก็ยังช่วยเสริมพลังให้กับชุมชนท้องถิ่นในการสร้างเสน่ห์ใหม่ๆ ด้วยการผสมผสานศิลปะ เทคโนโลยี และมรดกทางวัฒนธรรม ไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว รวมทั้งความมุ่งมั่นของบริษัทในการทำงานร่วมกับพันธมิตรทั่วโลกเพื่อขับเคลื่อนการสร้างสรรค์นวัตกรรมและคว้าศักยภาพใหม่ๆ ไว้เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน

ทุ่มงบ 100 ล้านเหรียญ! ปฎิวัติวงการท่องเที่ยว
ทั้งนี้ ในฐานะประธานกลุ่มบริษัท Trip.com Group James Liang ยังได้ประกาศเปิดตัวกองทุนนวัตกรรมการท่องเที่ยวที่มีมูลค่าสูงถึง 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 3,258 ล้านบาท โดยกองทุนดังกล่าวออกแบบมาเพื่อสนับสนุนจุดหมายปลายทาง องค์กร และบุคคลต่างๆ ในการเปลี่ยนแนวคิดที่กล้าหาญให้กลายเป็นความจริง
“การท่องเที่ยวและนวัตกรรมเป็นแรงผลักดันที่สำคัญยิ่งต่อเศรษฐกิจโลก และเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่มีความหมายและเติมเต็มมนุษยชาติมากที่สุด นวัตกรรมกำลังผลักดันอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้ก้าวหน้าไปจากเดิม ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืนหรือการสร้างประสบการณ์ที่ดื่มด่ำ เราสนับสนุนให้ผู้บุกเบิกเดินทางร่วมกันผ่านกองทุนนวัตกรรมการท่องเที่ยวใหม่ของเรา เพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้กับมนุษยชาติ” James Liang กล่าว
ด้าน Jane Sun ซีอีโอ Trip.com Group ยังได้ขึ้นกล่าวบนเวทีโดยเน้นย้ำถึงการเติบโตของบริษัทด้วยว่า เราได้รับการสนับสนุนจากความร่วมมือระดับโลกและการลงทุนอย่างต่อเนื่องในด้านนวัตกรรม ธุรกิจระหว่างประเทศของบริษัทในไตรมาสแรกปีนี้มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เห็นได้จากตัวเลขการจองตั๋วท่องเที่ยวขาออกพุ่งสูงขึ้นกว่า 120% เมื่อเทียบกับระดับก่อนเกิดสถานการณ์แพร่ระบาด Covid-19



นอกจากนี้ อีกหนึ่งจุดแข็งหลักของ Trip.com Group ก็คือ ทีม Customer Service ที่ทางบริษัทได้ผสมผสานความเป็นเทคโนโลยีล้ำสมัยผนวกเข้ากับความเชี่ยวชาญของมนุษย์คอยให้บริการแก่ลูกค้าซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ยกตัวอย่าง เช่น บริการ Global Travel SOS สำหรับกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉินทางทีมงานดังกล่าวก็สามารถช่วยเหลือในเรื่องของการปรับเปลี่ยนไฟลท์เดินทาง หรือการติดต่อโรงแรมที่พักอื่นๆ ได้อย่างรวดเร็วภายใน 2 นาที! โดยตัวอย่างที่กล่าวมานี้ สามารถสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าทั่วโลกได้เกือบ 90%
“จากตัวเลขต่างๆ ที่เกิดขึ้น การเดินทางยังคงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้บริโภคทั่วโลก และอุตสาหกรรมนี้จะเติบโตเร็วกว่าเศรษฐกิจโดยรวม และด้วยโอกาสอันน่าตื่นเต้นที่รออยู่ข้างหน้า เราจะไม่หยุดสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ พร้อมทำงานร่วมกับพันธมิตรของเราเพื่อมอบการเดินทางที่สมบูรณ์แบบสำหรับทุกคนและเพื่อโลกที่ดีกว่า” Jane Sun กล่าว
'เจ้าชายแฮร์รี่' ให้เกียรติร่วมงาน ดัน 'ท่องเที่ยวยั่งยืน'
นับเป็นเรื่องน่ายินดีและถือเป็นอีก 1 ไฮไลต์สำคัญของงานที่จัดขึ้นในครั้งนี้ เมื่อ 'เจ้าชายแฮร์รี่' ดยุกแห่งซัสเซกซ์ ซึ่งถือเป็น 1 ในกลุ่มพันธมิตรที่ได้ให้เกียรติมาร่วมงานในฐานะผู้ก่อตั้ง Travalyst องค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรและยังส่งเสริมในเรื่องของการเดินทางท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ เจ้าชายแฮร์รี่ ยังได้กล่าวคำปราศัยบนเวทีโดยมีใจความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องของผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ของ Trip.com Group ต่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยยกตัวอย่าง ความร่วมมือเป็นเวลา 6 ปี ที่ช่วยให้นักท่องเที่ยวหลายล้านคนเข้าถึงข้อมูลด้านความยั่งยืนที่เชื่อถือได้ขณะทำการจอง Trip.com Group
และยังคงสร้างความตระหนักรู้ให้เกิดขึ้นจริงผ่านความคิดริเริ่มต่างๆ เช่น การติดฉลากการปล่อยมลพิษสำหรับเที่ยวบิน รถเช่า และรถไฟ การนำเสนอทางเลือกในการชดเชยคาร์บอนสำหรับเที่ยวบิน รวมถึงการสนับสนุนให้โรงแรมได้รับการรับรองด้านความยั่งยืนและนำแนวทางปฏิบัติด้านคาร์บอนต่ำมาใช้มากขึ้น ความพยายามเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความรับผิดชอบของอุตสาหกรรมในการเสริมศักยภาพให้นักท่องเที่ยวเลือกทางเลือกที่ยั่งยืนมากขึ้น
"นี่เป็นช่วงเวลาที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลกจะต้องตระหนักถึงและหันมามุ่งมั่นในการเป็นพลังแห่งความดี...และแม้เส้นทางแห่งความยั่งยืนนี้อาจจะดูเป็นเรื่องที่ยากลำบาก แต่เราจะต้องไม่ย่อท้อ อย่ายอมแพ้” เจ้าชายแฮร์รี่ตรัส

'กองทุนนวัตกรรม' จุดประกายความก้าวหน้า 'การเดินทาง'
การประกาศเปิดตัวกองทุนนวัตกรรม หรือ Tourism Innovation Fund ของ Trip.com Group ครั้งนี้ ถือเป็นโครงการริเริ่ม มูลค่าประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่ออกแบบมาเพื่อจุดประกายให้เกิดความก้าวหน้าในด้านการเดินทาง โดยกองทุนนี้มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนนวัตกรรมเชิงพาณิชย์และแนวคิดใหม่ๆ ที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบการเดินทาง การเชื่อมต่อ และการสำรวจโลกของผู้คน ดังนี้
Destination Experience Innovation
สนับสนุนโครงการริเริ่มขนาดใหญ่ที่มีผลกระทบสูง เช่น เทศกาลดิจิทัลและกิจกรรมรับประทานอาหารแบบดื่มด่ำ เพื่อส่งเสริมจุดหมายปลายทางที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ และยกระดับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองที่กำลังพัฒนา
รางวัลนวัตกรรมการท่องเที่ยว
รางวัลระดับโลกอันทรงเกียรติซึ่งได้รับทุนสนับสนุนประมาณ 1.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อยกย่องบุคคลและองค์กรที่มีผลงานโดดเด่นด้านนวัตกรรมการท่องเที่ยวในด้านความยั่งยืน เทคโนโลยี มรดกทางวัฒนธรรม จุดหมายปลายทางที่สวยงาม และอื่นๆ ซึ่งกองทุนนี้สนับสนุนโครงการที่ก้าวล้ำในทุกระดับ ทำให้ Trip.com Group กลายเป็นฐานการผลิตสำหรับยุคใหม่ของการเดินทางทั่วโลก
เชื่อมโยงทั่วโลก ผนึกกำลังหนุนการท่องเที่ยว
อย่างไรก็ตาม ทาง Trip.com Group ยังได้ประกาศความร่วมมือใหม่กับคณะกรรมการการท่องเที่ยวระดับประเทศและกลุ่มธุรกิจบริการชั้นนำ ได้แก่ การท่องเที่ยวออสเตรียและการท่องเที่ยวนิวซีแลนด์ เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีอีก 1 ไฮไลต์พิเศษซึ่งถือเป็นข่าวดีสำหรับประเทศไทย ที่ทาง ฐาปณี เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้เข้าร่วมงานเปิดตัวความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระดับโลกที่จัดขึ้นในครั้งนี้ด้วย

โดยความร่วมมือดังกล่าว นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการยกระดับประเทศไทยให้กลายเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวระดับโลกและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคการท่องเที่ยวของไทยบนเวทีระดับนานาชาติผ่านการเข้าถึงเครือข่ายลูกค้าระดับโลกของ Trip.com Group ทั่วโลกได้เป็นอย่างดี
ภาพ : Trip.com Group และ กนกวรรณ มณีแสงสาคร
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : เมื่อ ‘จีนไม่เที่ยวไทย’ เหมือนเดิม ภาคการท่องเที่ยวต้องปรับตัวแค่ไหน?
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine