เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ในเครือ สิงห์ เอสเตท โตต่อเนื่องตามคาด ไตรมาส 3 ปี 2568 โกยรายได้ 2,578 ล้านบาท ด้านกำไร 9 เดือนแรก 328 ล้านบาท ทุบสถิติสูงสุดรอบ 6 ปี
บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารงานโรงแรมและรีสอร์ทระดับนานาชาติในเครือ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) รายงานรายได้จากการประกอบธุรกิจโรงแรมและบริการประจำไตรมาส 3 ปี 2568 โดยมีจำนวน 2,578 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ด้วยแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากจากโรงแรมในประเทศไทย และ มอริเชียส ที่ยังคงเติบโตต่อเนื่องตลอดทั้งปี ประกอบกับการบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างเหมาะสม
ทำให้บริษัทฯ สามารถรายงานกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ได้สูงขึ้นถึง 14% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตราการทำกำไร หรือ EBITDA Margin ที่ 26% ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 23% นอกจากนี้ ยังพลิกฟื้นผลประกอบการสู่กำไรสุทธิ จำนวน 129 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้นกว่าช่วงไตรมาส 3 ของปี 2567 กว่า 3 เท่า
ขณะที่ ผลประกอบการช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 มีรายได้จากการประกอบธุรกิจโรงแรมและบริการรวมจำนวน 7,601 ล้านบาท ชะลอตัวลง 2% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการแข็งค่าของเงินบาท ส่วนกำไรสุทธิมีจำนวน 328 ล้านบาท พลิกจากขาดทุนสุทธิจำนวน 13 ล้านบาทในปีก่อน
เป็นผลมาจากการบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ และความสามารถในการลดต้นทุนทางการเงิน ที่ปรับตัวลดลงกว่า 22% เมื่อเทียบกับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 โดยการลดต้นทุนทางการเงินนี้เป็นหนึ่งกลยุทธ์เชิงรุกสำคัญในการดำเนินงานของปี 2568 โดยตั้งเป้าหมายลดดอกเบี้ยรวมเฉลี่ยลงที่ 1%
Michael David Marshall ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า ภาพรวมจำนวนนักท่องเที่ยวของประเทศไทยในปี 2568 มีการชะลอตัวลงจากปีก่อน โดยเฉพาะจากประเทศจีน อย่างไรก็ตามเนื่องจากสัดส่วนรายได้หลักของกลุ่มโรงแรมในประเทศไทยยังคงขับเคลื่อนมาจากกลุ่มลูกค้ารัสเซียและยุโรป จึงมีผลกระทบต่อผลการดำเนินงานที่ค่อนข้างจำกัด
สำหรับไตรมาส 3 ของปี 2568 ผลการดำเนินงานของ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท เติบโตอย่างโดดเด่นในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะในประเทศไทยถึงแม้ว่าจะอยู่ช่วงนอกฤดูกาลการท่องเที่ยว แต่ยังสามารถรายงานรายได้เฉลี่ยต่อห้องสูงขึ้นถึง 31% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
โดยแรงขับเคลื่อนหลักยังคงมาจากโรงแรม ทราย ลากูน่า ภูเก็ต ที่ตอกย้ำความสำเร็จของกลยุทธ์การยกระดับคุณภาพสินทรัพย์อย่างต่อเนื่อง และมีรายได้เฉลี่ยต่อห้องสูงขึ้นกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 3 ของปี 2567 เช่นเดียวกันกับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โรงแรมในประเทศไทยโดยรวมสามารถสร้างรายได้เฉลี่ยต่อห้องได้สูงขึ้นถึง 19% ขณะที่โรงแรม ทราย ลากูน่า ภูเก็ต มีรายได้เฉลี่ยต่อห้องสูงขึ้น 58%”
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งตรงกับฤดูกาลท่องเที่ยวของประเทศไทยและมัลดีฟส์ บริษัทฯ คาดว่าผลการดำเนินงานยังคงเป็นไปตามแผนที่วางไว้ โดยได้รับการสนับสนุนจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของโรงแรมในประเทศไทย รวมถึงยอดจองล่วงหน้าที่ยังคงสะท้อนโมเมนตัมเชิงบวก
นอกจากนี้ ด้านโรงแรม The Grand Hotel Leicester by The Unlimited Collection ที่ผ่านการปรับปรุงและยกระดับแบรนด์ จะเริ่มกลับมาเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการภายในไตรมาส 4 ปีนี้อีกด้วย โดยการปรับปรุงแบรนด์ในครั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะได้การตอบรับที่ดีและตอบโจทย์กลุ่มนักท่องเที่ยวที่ต้องการแสวงหาการเดินทางที่มีความหมาย และต้องการดื่มด่ำกับเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของแต่ละจุดหมายปลายทางได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
นอกจากการเติบโตในเชิงตัวเลข อีกหนึ่งปัจจัยที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญมาโดยตลอดคือดำเนินธุรกิจบนหลัก ESG มีความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม รวมถึงยืนหยัดในการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส ในปี 2568 บริษัทฯ ได้รับผลประเมินการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนไทย ประจำปี 2568 ในระดับ 5 ดาว หรือ “ดีเลิศ” (Excellent CG Scoring) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ตอกย้ำศักยภาพการบริหารงานของ SHR ในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : “ทราย โฮเทล” ยกระดับแบรนด์สร้างความสุขที่ตรงใจ
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine
