การเติบโตมาท่ามกลางครอบครัวซึ่งทำธุรกิจเรือท่องเที่ยวและอุปกรณ์ถ่ายรูปใต้น้ำ ส่งผลให้ “ภัทรนันฑ์ กิตติสาร”มองเห็นโอกาสในการนำเรือ VELOCEAN ผงาดสู่น่านน้ำสากลเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์กลุ่มนักท่องเที่ยวผู้มีกำลังซื้อสูงระดับไฮเอนด์
บรรยากาศสบายๆ ยามบ่ายบนตึกสูงระฟ้าย่านใจกลางกรุงบนถนนเส้นสุขุมวิท คือ สถานที่นัดหมายของทีมงาน Forbes กับการสัมภาษณ์นักธุรกิจสาวผู้บุกเบิกนำเรือสัญชาติไทยลำเดียวและลำแรกแล่นผงาดสู่น่านน้ำสากลโดยให้บริการแก่กลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยวผู้มีกำลังซื้อสูงและชื่นชอบไลฟ์สไตล์กลางแจ้งอย่างกิจกรรมการดำน้ำซึ่งเน้นเปิดประสบการณ์ใหม่ด้วยบริการแบบโรงแรมห้าดาวสุดประทับใจ
ภัทรนันฑ์ กิตติสาร (ไอส์) ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการเรือ VELOCEAN บอกเล่าเรื่องราวถึงที่มาและแรงบันดาลใจในการขับเคลื่อนธุรกิจเรือท่องเที่ยวสำหรับนักดำน้ำกระเป๋าหนักในระดับ top luxury ให้ฟังว่า เธอเติบโตมาและคุ้นเคยกับธุรกิจของครอบครัวเป็นอย่างดี นั่นก็คือ ธุรกิจเรือท่องเที่ยวสำหรับนักดำน้ำ PANUNEE Yacht ที่เคยเดินเรือในน่านน้ำในประเทศไทย รวมถึง PRODIVE ธุรกิจนำเข้าและจัดจำหน่ายกล้องและอุปกรณ์ถ่ายรูปใต้น้ำ ซึ่งมีคุณพ่อพร้อมทั้งพี่ชายเป็นผู้ดูแล
ในช่วงปี 2016 ที่เธอเริ่มเข้ามามีบทบาทช่วยคุณพ่อดูแลกิจการเรือท่องเที่ยวสำหรับนักดำน้ำพร้อมเก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานมาได้สักระยะ 2-3 ปี ภัทรนันฑ์ก็เริ่มมองเห็นโอกาสและความท้าทายของการขยับขยายธุรกิจให้เติบโตด้วยการปักธงแล่นเรือไปในน่านน้ำสากลอย่างประเทศอินโดนีเซียที่มีเรือแข่งขันอยู่ในตลาดถึง 200 ลำ เทียบกับตลาดเดียวกันในประเทศไทยจะมีเพียงแค่ 30 ลำเท่านั้น
ทั้งนี้ น่านน้ำอินโดนีเซียถือเป็นพื้นที่ตลาดท่องเที่ยวด้านการดำน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก และยังถือเป็น “Diving Destination” จุดหมายปลายทางของเหล่านักดำน้ำจากทั่วโลกที่ต้องการเดินทางมาสัมผัสประสบการณ์ที่สวยงามภายใต้ท้องทะเล ซึ่งในแต่ละปีตลาดท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมดำน้ำทั่วโลกนั้นมีมูลค่ามหาศาล เห็นได้จากตัวเลขล่าสุดของปี 2022 มีมูลค่าอยู่ที่ 3,900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และยังมีตัวเลขคาดการณ์ในอีก 10 ปีข้างหน้าว่ามูลค่าดังกล่าวจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 10,700 ล้านเหรียญในปี 2032
เปลี่ยนโควิด ให้เป็นโอกาส
ปี 2020 คือ ช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้นธุรกิจเรือ VELOCEAN เพื่อรองรับนักดำน้ำจากทั่วทุกมุมโลกในน่านน้ำประเทศอินโดนีเซีย ภัทรนันฑ์ตั้งเป้าเอาไว้ว่าเรือของเธอจะต้องตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์สุดหรูหราและกลุ่มนักท่องเที่ยวระดับ top luxury ได้เป็นอย่างดี ด้วยรูปลักษณ์อันทันสมัยโดดเด่นของเรือที่เป็นสีเทาโดยทำจากวัสดุ aluminium ทั้งลำ แตกต่างจากเรือลำอื่นโดยทั่วไปที่ทำจากไม้หรือทำจากเหล็ก, ความเร็วของเรืออยู่ในระดับ 20-25 นอต ซึ่งถือเป็นเรือที่แล่นเร็วที่สุดในน่านน้ำแปซิฟิก ขณะที่เรือไม้ลำอื่นมีความเร็วไม่เกิน 10 นอต นี่จึงเป็นที่มาของชื่อแบรนด์ที่มีการผสมคำระหว่างคำว่า velo (ความเร็ว) + ocean (ทะเล)
นอกจากนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือเรื่องของ service หรือการบริการที่เธอบอกว่าเป็นความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด เพราะทุกอย่างบนเรือล้วนคัดสรรมาบริการลูกค้าเสมือนประหนึ่งได้มาพักในโรงแรมห้าดาวที่กำลังแล่นอยู่ในใจกลางมหาสมุทรและยังสามารถสนุกสนานควบคู่ไปกับกิจกรรมกลางทะเลอย่างการดำน้ำไปตามหมู่เกาะต่างๆ ได้
“ลูกค้าต่างชาติหลายรายบอกว่าเรือของเราทันสมัยสวยงามมากๆ เหมือนเรือในหนังดังอย่าง เจมส์บอนด์ 007 แต่ทั้งนี้เรื่องความสวยงามอย่างเดียวคงไม่พอ หากแต่เป็นเรื่องของ service mind หรือบริการที่ดีในอีกระดับต่างหากค่ะ คือสิ่งสำคัญที่ทำให้แบรนด์ของเรา Outstanding โดดเด่นและแตกต่างจากที่อื่น” แม่ทัพหญิงผู้ขับเคลื่อนเรือ VELOCEAN กล่าว
อย่างไรก็ตาม ณ ช่วงแรกที่ภัทรนันฑ์ได้แล่นหัวเรือลงสู่ห้วงทะเลแห่งตลาดการแข่งขัน คือช่วงเวลาเดียวกันกับที่หลายธุรกิจต่างต้องเผชิญกับภาวะวิกฤตการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยเธอเองก็รู้สึกหวั่นไหวกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นอยู่บ้าง แต่ด้วยประสบการณ์และความคุ้นชินที่คลุกคลีอยู่กับธุรกิจการท่องเที่ยวทางน้ำมานานเธอจึงตัดสินใจเปลี่ยนทิศทางการดำเนินธุรกิจแบบชั่วคราวให้เหมาะสมกับช่วงเวลานั้นก่อน ด้วยการหันมาให้บริการทริปล่องเรือท่องเที่ยวแบบ private สำหรับครอบครัวโดยเฉพาะเพื่อให้บริการกลุ่มลูกค้าอินโดนีเซียภายในประเทศแทน ซึ่งแนวทางดังกล่าวยังได้เสียงตอบรับดีเกินคาดส่งผลให้สถานการณ์ที่หลายคนมองว่าเป็นวิกฤตแต่กลับกลายเป็นโอกาสให้ VELOCEAN เติบโตได้อย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาเพียง 1-2 ปี
ธุรกิจบริการ ทุกอย่างต้องใส่ใจ
ปัจจุบันธุรกิจของภัทรนันฑ์ประสบความสำเร็จโลดแล่นอยู่ในน่านน้ำสากลมาได้ 3 ปีแล้ว ถึงแม้จะเป็นระยะเวลาไม่นานนักแต่ด้วยเป้าหมายที่วางไว้ชัดเจนตั้งแต่ต้นในการตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าระดับบนที่มีกำลังซื้อสูงจากทั่วโลกได้เป็นอย่างดี เห็นได้จากยอดจองคิวเพื่อใช้บริการ “เรือท่องเที่ยวสำหรับการดำน้ำ” (Diving Liveaboard) ในแต่ละทริปที่มีคิวเต็มยาวเหยียดไปถึง 3 ปีข้างหน้าโดยทริปสำหรับปี 2026 ขายไปได้แล้วราว 60% ส่วนทริปปี 2027 ก็เตรียมจะเปิดขายต่อเนื่องเร็วๆ นี้ สำหรับค่าบริการต่อคนในแต่ละทริปจะมีราคาเริ่มต้นอยู่ราวๆ 5,000 เหรียญสหรัฐฯ ขึ้นไป ตามแต่ระยะเวลาความยาวของทริป แบบ 7 วัน 6 คืน หรือ 15 วัน 14 คืน เป็นต้น ขณะที่ราคาค่าบริการของเรือลำอื่นทั่วไปจะอยู่ที่ 2,000-3,000 เหรียญ
ด้วยจำนวนสัดส่วนของลูกค้าที่มีครอบคลุมมากถึง 21 ประเทศ จำแนกออกเป็น ต่างชาติ 70% ส่วนที่เหลืออีก 30% เป็นนักท่องเที่ยวจากไทย ภัทรนันฑ์ บอกด้วยว่า เธอยังคงวางแผนงานเรื่องการตลาดและโปรโมทธุรกิจอย่างต่อเนื่อง แต่พ้อยต์หลักสำคัญของการทำธุรกิจบริการให้ success คือ การที่ลูกค้าเกิดความประทับใจในการบริการแล้วเกิดการแนะนำบอกต่อพร้อมกับการโพสต์ภาพหรือคลิปความประทับใจต่างๆ ลงสื่อโซเชียลจนทำให้หลายคนเกิดความสนใจ ซึ่งแนวทางดังกล่าวนี้ถือเป็นการโปรโมททางอ้อมจึงทำให้เธอมีลูกค้าระดับ top luxury สนใจมาใช้บริการเพื่อสร้าง experience ใหม่อย่างต่อเนื่องและยังทำให้เกิดความประทับใจจนต้องกลับมาใช้บริการซ้ำอยู่หลายราย
“ข้อดีของการเป็นผู้หญิงอย่างหนึ่งก็คือ การใส่ใจในดีเทลรายละเอียดต่างๆ รอบตัวแล้วนำมาปรับปรุงใช้กับการทำงานให้ดียิ่งขึ้น รวมถึงการที่เราได้ลงเรือร่วมทริปไปกับกลุ่มลูกค้าบ่อยๆ ก็จะเห็นสิ่งต่างๆ หน้างานให้นำมาปรับใช้ให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม บริการของเราจึงสร้าง experience สุดประทับใจให้แก่กลุ่มลูกค้าระดับบนได้เป็นอย่างดี ยกตัวอย่างเช่น บริการอาหารที่มีให้ตลอดถึง 5 มื้อต่อวัน นับตั้งแต่ตีห้าครึ่ง, มี camera station สำหรับลูกค้าที่เตรียมอุปกรณ์สำหรับถ่ายภาพใต้น้ำมาแล้วต้องการพื้นที่ในการจัดวางอุปกรณ์ราคาแพงต่างๆ ทั้งก่อนและหลังใช้งาน นอกจากนี้ ยังมี ห้องอาหาร, บาร์, อ่างจากุชชี่ รวมถึงเครื่องทำกาแฟแบบร้านคาเฟ่ และตู้สำหรับแช่ไวน์ ไว้คอยให้บริการอย่างเต็มที่” ภัทรนันฑ์ยิ้มสดใสพร้อมเล่ารายละเอียดด้านการบริการให้ฟังเพิ่มเติม
Mindset ของทีมงาน ความซื่อสัตย์ต่อลูกค้า
ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ภัทรนันฑ์บอกว่า VELOCEAN เน้นเรื่องความจริงใจและซื่อสัตย์ต่อลูกค้าด้วยบริการที่ดีมีมาตรฐานอยู่เสมอ ซึ่งในส่วนของทีมงานโดยเฉพาะลูกเรือที่ต้องคอยบริการลูกค้าตลอดทริปการเดินทางในแต่ละครั้งนั้นจะมีอยู่ทั้งหมดจำนวน 24 คน นับตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจมา
ลูกเรือลำอื่นจะมีอัตรา turn over การลาออกของพนักงานสูงมาก ขณะที่ของ VELOCEAN จะมีเพียง 1% เท่านั้น ซึ่งแนวทางการบริหารบุคลากรหรือพนักงานภายในองค์กร นักธุรกิจสาวผู้ที่เคยแล่นเรือผ่านกระแสลมแรงอย่างโควิด-19 มาแล้วนั้น ยิ้มหวานแล้วบอกกับทีมงาน Forbes ว่า “เราต้องพิสูจน์ตัวเองและเป็นตัวอย่างในการทำงานให้เหล่าทีมงานเห็นว่าควรให้บริการที่ดีแก่ลูกค้าระดับ top luxury ในรูปแบบไหนเขาจะได้ทำตาม นอกจากนี้ยังต้องสร้าง mindset ที่ดีให้พนักงานลูกเรือทุกคนทำงานได้อย่างราบรื่นและมีความสุขควบคู่กันไปได้ด้วย”
สำหรับการคัดสรรพนักงานให้เหมาะกับองค์กร ผู้บริหารของเรือลำนี้บอกว่า ประสบการณ์การทำงานคือสิ่งที่เราคัดเลือกในเบื้องต้น นอกจากนั้นคงเป็นเรื่องของ Mindset ที่ดีที่บ่งบอกว่าพนักงานคนนี้เป็นคนรักธรรมชาติ และมีความสุขกับงานในเรื่องของการบริการ ซึ่งในส่วนของการเทรนนิ่งอบรมพนักงานนั้น
ภัทรนันฑ์ ยังเล่าด้วยแววตาเป็นประกายว่า “เราอบรมพนักงานอย่างดี แถมยังมีทริคเล็กๆ ด้วยการมีภาพของลูกค้าและข้อมูลต่างๆ เก็บไว้ ว่าในแต่ละวันลูกค้าแต่ละคนชอบทานอาหารประเภทไหนอย่างไรบ้าง ทางพนักงานและเชฟบนเรือก็จะได้จัดเตรียมหรือแนะนำเมนูต่างๆ ที่เหมาะกับแต่ละบุคคลเอาไว้ให้ อีกทั้งลูกเรือของเรายังพร้อมตื่นขึ้นมายืนรอสวัสดีตอนเช้าพร้อมให้บริการในทุกๆ ด้านเป็นอย่างดีนับตั้งแต่ตีห้าครึ่ง และด้วยความ friendly + homey ของพนักงานทั้งหมดบนเรือลำนี้ จึงถือเป็นประสบการณ์อันล้ำค่าที่น่าประทับใจ”
ทั้งหมดนี้จึงเป็นผลให้ VELOCEAN ถูกจัดอันดับให้อยู่ในลิสต์ World’s Best Scuba Diving Liveaboard in 2024 ซึ่งจัดทำโดยนิตยสาร Scuba Diving ของสหรัฐอเมริกา และยังติดอันดับ 1 ใน 3 ของ Most Luxury Liveaboard in Pacific ซึ่งถือเป็นเรือสัญชาติไทยลำแรกในประวัติศาสตร์ธุรกิจเรือท่องเที่ยวดำน้ำที่ได้รับรางวัลระดับโลก
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : SiteMinder เผยมิลเลนเนียลชาวไทยมีโอกาสเที่ยว ตปท.มากสุดปีหน้า ส่วน Gen Z น้อยสุด
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine