Etihad Airways เปิดเส้นทางบินตรงใหม่ “อาบูดาบี-เชียงใหม่” เชื่อมท่องเที่ยวภาคเหนือของไทยกับตะวันออกกลาง ด้วยการเดินทางระดับพรีเมียม โดย แอร์บัส A321LR รุ่นใหม่ล่าสุด
เมื่อเวลา 06.05 น. ของวันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 นับเป็นหนึ่งโมเมนต์ประวัติศาสตร์ เมื่อเครื่องบินแอร์บัส A321LR ของ Etihad Airways เดินทางจาก อาบูดาบี มาถึงยังท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ เปิดเส้นทางบินตรงล่าสุดที่เชื่อมต่อระหว่างเมืองท่องเที่ยวหลักของไทยกับเมืองหลวงของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อย่างเป็นทางการ โดยจะให้บริการ 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ได้แก่ วันจันทร์ พุธ ศุกร์ และอาทิตย์
เส้นทางใหม่นี้ถือเป็นเที่ยวบินตรงที่มีระยะทางไกลที่สุดในปัจจุบันของท่าอากาศยานเชียงใหม่ โดยมีระยะทาง 4,612 กิโลเมตร ทำลายสถิติเดิมของเที่ยวบิน เชียงใหม่-คันไซ ของสายการบิน VietJet Airlines ที่มีระยะทางประมาณ 3,979 กิโลเมตร
ตอกย้ำความมุ่งมั่น และเสริมแกร่งในตลาดประเทศไทยของ Etihad หลังจากเพิ่งเปิดให้บริการเส้นทางระหว่าง กระบี่-อาบูดาบี ไปเมื่อวันที่ 9 ตุลาคมที่ผ่านมา แสดงถึงบทบาทของกระบี่และเชียงใหม่ในฐานะเมืองท่องเที่ยวที่มีศักยภาพสำหรับชาวต่างชาติ เป็นศูนย์กลางธุรกิจ การค้า ตลอดจนการท่องเที่ยวในระดับภูมิภาค
การเปิด 2 เส้นทางบินตรงใหม่ไปยังกระบี่และเชียงใหม่ในครั้งนี้ สอดคล้องกับการลงนามบันทึกความร่วมมือ (Memorandum of Cooperation : MoC) กับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่มีเป้าหมายในการส่งเสริมการเติบโตของตลาดนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศและขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก โดยนับเป็นหมุดหมายที่ 3 และ 4 ของ Etihad ในประเทศไทย ต่อจากกรุงเทพมหานครและภูเก็ตที่ให้บริการอยู่ก่อนแล้ว
ไทยคือตลาดสำคัญ Etihad ชู เชียงใหม่-กระบี่ เป็น Hidden gem
Frank Meyer Chief Digital Officer Etihad Airways กล่าวว่า Etihad มุ่งขยายจุดหมายปลายทางให้ครอบคลุมกว่า 125 แห่งทั่วโลก ภายในปี 2573 โดยภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่มีศักยภาพในการขยายเครือข่ายการให้บริการของสายการบิน
เที่ยวบินปฐมฤกษ์จากอาบูดาบีสู่เชียงใหม่ นับเป็นเส้นทางในลำดับที่ 5 แล้วหลังจากที่ Etihad ได้เพิ่มการให้บริการไปยังเมืองต่างๆ ในเอเชีย จากจุดหมายปลายทางกว่า 31 แห่งที่ Etihad เปิดให้บริการในเส้นทางใหม่ และหากนับเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถือว่า Etihad เติบโตอย่างรวดเร็ว และยังมีโอกาสเติบโตอีกมากในภูมิภาคนี้
สำหรับประเทศไทย แม้ Etihad จะมีเที่ยวบินจากอาบูดาบีสู่กรุงเทพมหานครและภูเก็ตอยู่แล้ว แต่การเปิดเส้นทางใหม่สู่กระบี่และเชียงใหม่เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ที่ให้ความสนใจกับเมือง Hidden gem โดยต้องการให้นักท่องเที่ยวตะวันออกกลางเข้าถึงเมืองเหล่านี้ให้มากขึ้น นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ต้องการรู้จักสถานที่ใหม่ๆ และจริงจังกับการพักผ่อน จึงไม่มีอะไรเหมาะไปกว่า 2 เมืองนี้อีกแล้ว
“ประเทศไทย เป็นตลาดที่ใหญ่สุดอันดับ 2 ของสายการบิน Etihad เส้นทางสู่กรุงเทพมหานครมีความถี่มากถึง 5-8 ไฟล์ทต่อสัปดาห์ และภูเก็ต 3-4 ไฟล์ทต่อสัปดาห์ ดังนั้น ประเทศไทยจึงเป็นส่วนคัญของสายการบิน Etihad”

นอกเหนือจากการขยายโอกาสการเข้าถึงประเทศไทยแล้ว เส้นทางบินตรงใหม่นี้ยังช่วยให้นักท่องเที่ยวเดินทางสู่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้สะดวกมากขึ้น เพื่อสัมผัสอาบูดาบี จุดหมายปลายทางระดับโลกที่มีชื่อเสียงด้านวัฒนธรรม ชายหาดอันงดงาม และกิจกรรมระดับนานาชาติที่จัดขึ้นตลอดทั้งปี
เมืองหลวงของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์นี้ยังคงเติบโตอย่างรวดเร็วในฐานะศูนย์กลางการท่องเที่ยวระดับโลก โดยเครือข่ายเส้นทางบินที่ขยายตัวของ Etihad ได้เพิ่มจำนวนที่นั่งนับพันระหว่างอาบูดาบีกับจุดหมายปลายทางทั่วโลก ซึ่งมีส่วนสนับสนุนการเติบโตของการท่องเที่ยวขาเข้าและเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เช่นกัน
การเติบโตของเครือข่ายการบินของ Etihad สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการเชื่อมโยงกรุงอาบูดาบีเข้ากับเมืองสำคัญในภูมิภาคเอเชีย เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว การค้า และการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมอย่างมีประสิทธิภาพ ความสำเร็จครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญสู่เป้าหมายระยะยาวของสายการบินในการต้อนรับผู้โดยสารจำนวน 38 ล้านคนต่อปีภายในปี 2573
A321LR หรูหรา บินไกล กำลังสำคัญ Etihad
ความพิเศษของเส้นทาง อาบูดาบี-เชียงใหม่ รวมถึงกระบี่ คือการให้บริการด้วยเครื่องบินแบบ แอร์บัส A321LR รุ่นใหม่ล่าสุดของ Etihad จากทั้งหมด 20 ลำที่ได้รับมอบตามสัญญาเช่ากับบริษัท Aercap จากแผนที่จะเพิ่มจำนวนเครื่องบิน เพื่อสอดรับเป้าหมายในการขยายฝูงบินเป็นสองเท่าภายในปี 2030
เครื่องบินรุ่นใหม่นี้มีระยะทำการบินถึง 4,000 ไมล์ทะเล (7,408 กิโลเมตร) เป็นก้าวสำคัญในการขยายเครือข่ายการบินของ Etihad ไปยังตลาดใหม่ทั่วโลก ด้วยมาตรฐานการบริการและความสะดวกสบายระดับชั้นนำของอุตสาหกรรมการบิน โดยคาดว่า A321LR จะถูกนำมาใช้ในเส้นทางการบินทั้งในภูมิภาคยุโรป เอเชีย และตะวันออกกลาง เช่นเดียวกับทุกเส้นทางของประเทศไทยในอนาคต

ห้องโดยสารของ A321LR ถูกออกแบบโดยคำนึงถึงความสะดวกสบายและความหรูหราระดับพรีเมียมอันเป็นเอกลักษณ์ของสายการบิน โดยจัดผังห้องโดยสาร 3 แบบ ประกอบด้วย ห้องโดยสาร First Suites จำนวน 2 ห้อง ที่สามารถเปิด-ปิดด้วยประตูบานเลื่อนเพื่อความเป็นส่วนตัว เตียงนอนปรับเอนราบได้เต็มที่ และการออกแบบที่พิถีพิถันในทุกรายละเอียด ซึ่งปกติจะพบได้เฉพาะในเครื่องบินลำตัวกว้างสำหรับเส้นทางบินระยะไกลเท่านั้น
ต่อมาคือที่นั่งชั้นธุรกิจ Business Lie-flat Stelia Opera จำนวน 14 ที่นั่งแบบหันหน้าไปข้างหน้า สามารถปรับเอนราบได้เต็มที่ ส่วนที่เหลือเป็นที่นั่งแบบ Collins Meridian Plus อีก 144 ที่นั่ง โดยมีระยะห่างระหว่างที่นั่งสูงสุดถึง 39 นิ้ว รวมแล้ว A321LR ของ Etihad รองรับผู้โดยสารทั้งหมด 160 ที่นั่ง

จุดเด่นของห้องโดยสารประกอบด้วยโซนต้อนรับที่ผสานดีไซน์ร่วมสมัยเข้ากับความอบอุ่น มอบประสบการณ์ที่แตกต่างตั้งแต่ก้าวแรกบนเครื่อง ระบบไฟในห้องโดยสารแบบ Mood Lighting สร้างบรรยากาศเฉพาะในแต่ละช่วงของเที่ยวบิน มีบริการ Wi-Fi ความเร็วสูงตลอดการเดินทาง ส่วนระบบความบันเทิงมาพร้อมหน้าจอสัมผัสความละเอียด 4K รองรับ Bluetooth Audio และพอร์ต USB-A และ USB-C
“Etihad มีเครื่องบินประจำการกว่า 115 ลำ และจะเปิดตัวเพิ่มอีก 5-6 ลำในปีหน้า โดยไม่ได้เน้นเครื่องบินลำตัวกว้างเพียงอย่างเดียว แต่มุ่งเจาะตลาดที่มีความเฉพาะตัวมากขึ้น นั่นคือการนำเครื่องบินลำตัวแคบมาให้บริการแบบพรีเมียม ในระยะทางที่ไม่ไกลมากนัก การนำเครื่อง A321LR มาใช้ในเส้นทางเชียงใหม่-อาบูดาบี เป็นการนำความสะดวกสบายของเครื่องบินลำตัวกว้างให้มาอยู่ในเครื่องบินลำตัวเเคบ ถือเป็นการยกระดับบริการไปอีกขั้น เพราะเครื่องบินลำตัวกว้างบางแบบยังไม่มีเฟิร์สคลาสด้วยซ้ำ กล่าวให้เห็นภาพคือเหมือนนำเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวมาให้บริการ ดังนั้น A321LR จึงเหมาะสม และไม่เสียตัวตนของ Etihad ที่ผู้คนมักนึกถึงการให้บริการด้วยเครื่องบินขนาดใหญ่” Frank Meyer กล่าว

ดึงนักท่องเที่ยวตะวันออกกลาง รับไฮซีซั่น
ชูวิทย์ ศิริเวชกุล รองผู้ว่าการด้านนโยบายและแผน ททท. กล่าวว่า เส้นทางใหม่นี้เพิ่มทางเลือกการเดินทางให้แก่นักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลาง และโอกาสของการนำเสนอจุดหมายปลายทางใหม่ที่ตอบโจทย์การเดินทางแบบ Multi-Destination Trip เช่น กระบี่-กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ หรือ เชียงใหม่-ภูเก็ต-ดูไบ ได้อย่างสะดวกและใช้เวลาน้อยลง ถือเป็นการดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ และมีการใช้จ่ายทางการท่องเที่ยวสูงเข้าสู่เมืองท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ อีกทั้งเป็นการกระตุ้นสถานการณ์การท่องเที่ยวช่วงไฮซีซั่น
สำหรับตลาดนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางเป็นตลาดนักท่องเที่ยวที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย นักท่องเที่ยวจากประเทศในกลุ่มความร่วมมืออ่าวอาหรับ หรือ Gulf Cooperation Council (GCC) ได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ คูเวต บาห์เรน และโอมาน ซึ่งมีรายได้ต่อหัวสูง นิยมเดินทางท่องเที่ยวแบบครอบครัว ชื่นชอบการท่องเที่ยวพักผ่อนเชิงสุขภาพและการเข้าพักในที่พักระดับหรู
โดยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยกว่า 679,924 คน มีระยะพำนักเฉลี่ย 10 วัน และค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริปประมาณ 100,000 บาท
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าภายในสิ้นปี 2568 จะมีนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางเดินทางเข้าประเทศไทยจำนวน 850,000 คน ซึ่งการเพิ่มเที่ยวบินตรงของ Etihad ถือเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการเติบโตของนักท่องเที่ยวศักยภาพจากตะวันออกกลาง และรองรับความต้องการเดินทางท่องเที่ยวจากภูมิภาคยุโรปและอเมริกาที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : 'บางกอกแอร์เวย์ส' เปิดเลานจ์ใหม่ 'ท่าอากาศยานดอนเมือง' ตอกย้ำบริการระดับพรีเมียม เสริมศักยภาพแบรนด์
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine


