ธุรกิจโรงแรมชะงัก แต่ "โฮเทล เรสซิเดนซ์" ในเอเชียยังบูม สวนวิกฤตโควิด-19 - Forbes Thailand

ธุรกิจโรงแรมชะงัก แต่ "โฮเทล เรสซิเดนซ์" ในเอเชียยังบูม สวนวิกฤตโควิด-19

FORBES THAILAND / ADMIN
07 Apr 2020 | 04:00 PM
READ 8871

รายงานเผยแบรนด์โรงแรมระดับท็อปทั่วเอเชียมุ่งพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแบบ โฮเทล เรสซิเดนซ์ สู่อสังหาริมทรัพย์ระดับเกรดเอ ส่งผลให้เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 3 ของตลาดโลก

ซีไนน์ โฮเทลเวิร์คส์ (C9 Hotelworks) ผู้เชี่ยวชาญด้านที่ปรึกษาด้านโรงแรม อสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจการบริการในเอเชีย เปิดรายงานล่าสุดเกี่ยวกับ โฮเทล เรสซิเดนซ์ (Asia Hotel Branded Residences Update 2020) พบว่า ภูมิภาคเอเชียมีระดับการลงทุนในโฮเทล เรสซิเดนซ์ค่อนข้างแข็งแกร่ง

โดยภายในปี 2025 จะมีโครงการใหม่ถึง 79 โครงการ 16,130 ยูนิต กำลังจะเข้ามาสู่ตลาดโฮเทล เรสซิเดนซ์เอเชีย โดยทำเลที่ให้บริการอสังหาริมทรัพย์พรีเมียมภายใต้แบรนด์โรงแรมระดับลักชัวรีตั้งอยู่ในประเทศไทยมากที่สุด ซึ่งคิดเป็น 29% ของอุปทาน โดยมีโฮเทล เรสซิเดนซ์ระดับลักชัวรี 30 โครงการ จำนวน 4,730 ยูนิต ที่กำลังพัฒนาในประเทศไทย (ภายในปี 2020-2025) ตามมาด้วยฟิลิปปินส์ และเวียดนาม

นอกจากนั้น ในรายงานยังพบว่าจีนมีความสำคัญต่อโครงการโฮเทล เรสซิเดนซ์ แบรนด์หรูตามเมืองชั้นนำในภูมิภาคเอเชีย โดยสามารถกวาดยอดขายได้จากนักลงทุนจีนมากกว่า 57% ซึ่งเป็นผลมาจากนักพัฒนาชาวจีนรุ่นสอง (Second-generation) ให้ความสนใจลงทุนนอกประเทศจีน ในขณะที่ยังคงลงทุนเฉพาะโครงการที่ได้รับผลตอบแทนสูงในจีนแผ่นดินใหญ่

นักลงทุนจีนเหล่านี้ได้รับแรงบันดาลใจจากความเชื่อมั่นเชิงลบตลาดในประเทศ และมองหาโอกาสที่มากขึ้นในต่างประเทศ ด้วยข้อเสนอการขายที่น่าดึงดูดของแบรนด์การบริการ (Hospitality) ระดับนานาชาติ ทั้งนี้ บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในจีนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง ซึ่งกำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่องในระดับสากล ได้แก่ ว่านเคอ (Vanke), กรีนแลนด์ กรุ๊ป (Greenland Group) และคันทรี การ์เด้น (Country Garden)

การเปลี่ยนแปลงในตลาดการลงทุนที่อยู่อาศัยอีกอย่างหนึ่งคือ กลุ่มบริษัทอสังหาริมทรัพย์เอเชียหลายแห่งกำลังพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่มุ่งเน้นการให้บริการ (Hotel Residence) ในต่างประเทศบนกลยุทธ์การลงทุนข้ามพรมแดน โดยใช้แบรนด์โรงแรมระดับโลกเข้ามาบริหารและเป็นจุดขาย

ตัวอย่างคือ เบอร์จาย่า คอร์เปอร์เรชั่น (Berjaya Corporation) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับแนวหน้าจากประเทศมาเลเซีย ได้ใช้แบรนด์โฟร์ซีซั่นส์” (Four Seasons) มาเป็นตราสินค้าของโครงการใน Kyoto ประเทศญี่ปุ่น (Four Seasons Hotel and Hotel Residences) โดยประสบความสำเร็จอย่างสูงในการขาย และได้รับการกล่าวขานว่า เป็นสินทรัพย์ที่มีราคาประเมินระดับพรีเมียมมากที่สุดโครงการหนึ่งในญี่ปุ่น

สะท้อนให้เห็นว่า โฮเทล เรสซิเดนซ์ คือการเพิ่มมูลค่าให้กับอสังหาริมทรัพย์ สามารถลดความเสี่ยงในการพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันยังเป็นทางออกของการลงทุนโรงแรมที่จากเดิมมุ่งเน้นเพียงแค่ผลตอบแทนในตลาดการบริการที่มีต้นทุนสูงและให้ผลตอบแทนต่ำอีกด้วย

ด้านทำเลโฮเทล เรสซิเดนซ์นั้นมีความสมดุลมากขึ้นระหว่างรูปแบบรีสอร์ทหรือในแหล่งท่องเที่ยว และทำเลในเมือง โดยโครงการโฮเทล เรสซิเดนซ์ในเมือง คิดเป็น 42% และกำลังเพิ่มขึ้น

เมื่อมองดูตัวเลขเทรนด์เมือง (Urbanization) และการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต จะเห็นว่า ผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่ร่ำรวยต่างย้ายถิ่นอาศัยจากแบบครอบครัวเดี่ยวดั้งเดิมมาเป็นคอนโดมิเนียมหรูที่พร้อมด้วยการบริการแบบครบวงจรเทียบเท่าโรงแรมห้าดาวในย่านใจกลางธุรกิจ (CBD areas) โดย 58% ของโครงการโฮเทล เรสซิเดนซ์ที่กำลังพัฒนาทั้งหมดในเอเชียอยู่ในระดับไฮเอนด์

รายงานของ C9 Hotelworks ได้จัดอันดับของผู้ประกอบการ Hotel Residence Branded ระดับพรีเมียม-ลักชัวรี (Upscale to Luxury) ที่โดดเด่น ได้แก่ แมริออท (Marriott) ตามมาด้วยแบรนด์แอคคอร์ (ACCOR), ดุสิต (Dusit), ไฮแอท (Hyatt), แชงกรี-ลา (Shangri-La), อินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเทล กรุ๊ป (InterContinental Hotels Group) และ วินแดม (Wyndham) รวมถึงโครงการอื่นๆ ในเครือโรสวูด (Rosewood) และไมเนอร์ (Minor)

Bill Barnett กรรมการผู้จัดการ C9 Hotelworks ให้ความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การธุรกิจโรงแรม รวมถึงโฮเทล เรสซิเดนซ์ ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ว่าระดับการลงทุนในภาคธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 ทั่วทั้งเอเชีย รวมถึงประเทศไทย ภูเก็ต และกรุงเทพฯ ที่เป็นศูนย์กลางการลงทุนสำหรับโฮเทล เรสซิเดนซ์ของภูมิภาคเอเชีย

Bill Barnet

สำหรับภูเก็ตซึ่งกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากในขณะนี้ โดยโครงการโรงแรมที่กำลังจะเปิดตัวในภูเก็ตปีนี้ (โรงแรมที่กำลังจะเข้าสู่ตลาดภูเก็ต ปี 2020 มีจำนวนทั้งสิ้น 5,009 ห้อง จาก 21 โครงการ อัตราส่วนการเพิ่มขึ้นคิดเป็น 6%) ส่วนใหญ่จะหยุดชั่วคราว แต่โครงการระยะยาวอย่างโฮเทล เรสซิเดนซ์ ยังรุดหน้าดำเนินการต่อไป ซึ่งเราคาดว่าการลงทุนโรงแรมในภูเก็ตหลังจากผลพวงของโควิด-19 จะยังคงแข็งแกร่งเหมือนเดิม

โดยตลาดสำคัญ 2 แห่งที่เข้าสู่ภูเก็ตซึ่งรวมกันเท่ากับ 40% ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด ได้แก่ จีนและรัสเซีย ตอนนี้เราเห็นสัญญาณการฟื้นตัวในประเทศของจีนแล้ว และคาดว่าภายในกลางปีเราจะเริ่มเห็นกระแสการท่องเที่ยวเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4

โดยคาดว่า ตลาดจีนจะเดินทางภายในภูมิภาคในช่วงหลังของปี 2020 สำหรับรัสเซียเป็นตลาดสโนว์เบิร์ด (Snowbird) ที่มาในช่วงเดือนตุลาคมถึงเมษายน ซึ่งเป็นฤดูหนาว การคาดการณ์ของเราคือ ตลาดนี้จะกลับมาอีกครั้งในเดือนตุลาคม Barnett กล่าว

   
ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine