สกู๊ต เปิดให้บริการเครื่องบินลำใหม่เสริมแกร่งการบิน - Forbes Thailand

สกู๊ต เปิดให้บริการเครื่องบินลำใหม่เสริมแกร่งการบิน

สกู๊ต สายการบินราคาประหยัดภายใต้การบริหารของกลุ่มสิงคโปร์แอร์ไลน์ พร้อมเปิดให้บริการด้วยเครื่องบินรุ่นใหม่ “แอร์บัส A321neo” ประเดิมเที่ยวบินแรกจากสิงคโปร์สู่ไทย มั่นใจสามารถฟื้นฟูธุรกิจและกลับมาอยู่แนวหน้าของธุรกิจสายการบินราคาประหยัดในภูมิภาคนี้

สำหรับเครื่องบินรุ่นใหม่ของ สกู๊ต แอร์บัส A321neo มีพิสัยการบินสูงสุดถึง 2,620 ไมล์ทะเล หรือ 4,852 กิโลเมตร ซึ่งมากกว่าเครื่องบินรุ่น A320neo ประมาณ 270 ไมล์ทะเล ทำให้สกู๊ตสามารถให้บริการในเส้นทางบินระยะสั้นถึงระยะกลางได้ ด้วยเวลาบินสูงสุดถึง 6 ชั่วโมง ซึ่งเทียบกับเครื่องบินรุ่นก่อนอย่าง A320 ที่มีรอบการบินอยู่ที่ 4-5 ชั่วโมง ทำให้สามารถรองรับแผนการเพิ่มเที่ยวบินในเส้นทางบินใหม่ได้มากขึ้นในอนาคต การที่เครื่องบินแอร์บัส A321neo สามารถรองรับผู้โดยสารได้มากถึง 236 ที่นั่ง ซึ่งเพิ่มขึ้นจากรุ่น A320neo ถึง 50 ที่นั่ง และยังประหยัดเชื้อเพลิงมากกว่า ทำให้สกู๊ตสามารถบริหารความคุ้นทุนและควบคุมต้นทุนต่อหน่วยได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยให้สายการบินสามารถบริหารจัดการเครื่องบินให้สอดคล้องกับเส้นทางและความต้องการได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นอีกด้วย ตัวอย่างเช่น สกู๊ตสามารถเลือกใช้เครื่องบินแอร์บัส A321neo แทนรุ่น A320 สำหรับเที่ยวบินที่ได้รับความนิยม หรือในช่วงวันที่มีดีมานด์สูง หรือช่วงเทศกาล ขณะเดียวกันก็สามารถนำมาให้บริการแทนเครื่องบินโบอิ้ง 787 ที่มีขนาดใหญ่กว่าของสกู๊ตในช่วงที่ความต้องการในการเดินทางลดลง นอกจากนี้ สกู๊ตยังสามารถเพิ่มความถี่ของเที่ยวบินได้มากขึ้น โดยการนำเครื่องบินแอร์บัส A321neo มาใช้เสริมในบางเส้นทางของโบอิ้ง 787 ซึ่งจะช่วยตอบรับความต้องการและอำนวยความสะดวกให้กับผู้โดยสารที่ต้องการเดินทางมากขึ้น พร้อมกับการยกระดับประสบการณ์การเดินทางที่สะดวกสบายให้กับผู้โดยสาร และเทคโนโลยีแสงไฟแบบ Ambient Light ที่สามารถช่วยลดอาการเจ็ทแลค รวมถึงคุณภาพอากาศในห้องโดยสาร และประสิทธิภาพในการลดเสียงรบกวนจากเครื่องยนต์ที่ดียิ่งขึ้นและในระยะยาว เครื่องบินแอร์บัส A321neo จะช่วยให้สกู๊ตสามารถเติบโตอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้มากขึ้น ด้วยปลายปีก Sharklets และเครื่องยนต์อากาศยานแพรทท์ แอนด์ วิทนีย์ รุ่น PW1100G-JM ที่ช่วยประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง ซึ่งเมื่อเทียบกับบันทึกก่อนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 แล้ว ปริมาณการปล่อยมลพิษทางเสียงและก๊าซไนโตรเจนออกไซด์นั้นลดลงกว่าร้อยละ 50 รวมถึงลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงถึง 5,000 ตันต่อปี ต่อเครื่องบิน
แคมป์เบล วิลสัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินสกู๊ต
แคมป์เบล วิลสัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินสกู๊ต กล่าวว่า​ “การดูแลฝูงบินให้ทันสมัยด้วยการลงทุนซื้อเครื่องบินรุ่นใหม่ที่ประหยัดพลังงาน เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของสกู๊ตในการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเหลือศูนย์ ภายในปี 2050 เมื่อนับรวมกับความสำเร็จในฐานะสายการบินต้นทุนต่ำรายแรกและรายเดียวของโลกที่ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยต่อสุขภาพในระดับ Daimond Standard จาก APEX Health Safety จากสถาบันตรวจสอบสายการบินระดับโลก SimpliFlying ทั้งหมดนี้ ทำให้สกู๊ตมั่นใจว่าเราจะสามารถฟื้นฟูธุรกิจและกลับมาอยู่แนวหน้าของธุรกิจสายการบินราคาประหยัดในภูมิภาค เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเดินทางหลังจากสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ” อานันท์ สแตนลีย์ ประธานบริษัทแอร์บัสประจำภูมิภาค​เอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “การส่งมอบเครื่องบิน A321neo ให้กับสกู๊ต ถือเป็นการตอกย้ำความสำเร็จร่วมกันระหว่างแอร์บัสและกลุ่มสิงคโปร์แอร์ไลน์ (SIA Group) สกู๊ตจะสามารถรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้นและเปิดเส้นทางใหม่ทั่วภูมิภาคเอเชียได้ด้วยเครื่องบิน A321neo ซึ่งเป็นเครื่องบินที่ใช้เชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดการสิ้นเปลืองพลังงาน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เรามั่นใจว่าเครื่องบิน A321neo จะช่วยให้ธุรกิจการบินของสกู๊ตสามารถฟื้นตัวได้ดี และหวังว่าจะได้พบทุกท่านบนเครื่องบินลำใหม่เร็วๆ นี้”

ฝูงบินของสกู๊ต

จนถึงปัจจุบัน สกู๊ตได้รับการส่งมอบเครื่องบิน A321neo แล้ว จำนวน 3 ลำ (ผ่านการเช่าแบบลีสซิ่งจาก BOC Aviation) จากจำนวนทั้งหมด 16 ลำ ซึ่งประกอบด้วย 6 ลำ ที่มีการเปลี่ยนแปลงคำสั่งซื้อเดิมจาก A320neo มาเป็นเครื่องบินรุ่นใหม่ และเป็นเครื่องบินเช่าอีก 10 ลำ นอกจากนี้ ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ 2020/2021 ที่ผ่านมา สกู๊ตได้ปลดประจำการเครื่องบิน A320ceo จำนวน 5 ลำ ตามแผนการปรับปรุงฝูงบิน ฝูงบินที่ให้บริการอยู่ในปัจจุบันของสกู๊ต ประกอบด้วย เครื่องบินแบบมีช่องทางเดินเดียว จำนวน 29 ลำ ได้แก่ A320ceo 21 ลำ A320neo 5 ลำ และ A321neo 3 ลำ นอกจากนี้ ยังมี A320neo 28 ลำ และ A321neo อีก 13 ลำ ที่กำลังรอการส่งมอบ ส่วนเครื่องบินแบบลำตัวกว้างของสกู๊ตมีจำนวน 20 ลำ เป็นเครื่องบินรุ่นโบอิ้ง 787 ทั้งหมด และกำลังรอการส่งมอบเพิ่มอีก 7 ลำ โดยอายุเฉลี่ยของฝูงบินของสกู๊ตในขณะนี้อยู่ที่ 5 ปี 10 เดือน ในปัจจุบัน สกู๊ตให้บริการในเส้นทาง สิงคโปร์–กรุงเทพฯ (สนามบินสุวรรณภูมิ) จำนวน 11 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สกู๊ตกำลังเตรียมการเพื่อที่จะกลับมาให้บริการอีกครั้งด้วยความปลอดภัยและมั่นใจ โดยวางแผนที่จะกลับมาให้บริการในเส้นทาง สิงคโปร์–เชียงใหม่ สิงคโปร์–หาดใหญ่ สิงคโปร์–กระบี่ และ สิงคโปร์–กรุงเทพฯ–โตเกียว เมื่อสถานการณ์เอื้ออำนวย อ่านเพิ่มเติม: Joby Aviation สร้างรถยนต์เหินฟ้าจนได้
ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine