- แอปพลิเคชัน MTL Click ที่รวบรวมทุกบริการของเมืองไทยประกันชีวิต สะดวก ครบ จบในแอปเดียว
- MTL Health Buddy ผู้ช่วยสุขภาพครบวงจร สามารถปรึกษาสุขภาพกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ค้นหาแพทย์ที่เหมาะกับโรค การทำนัดหมายติดต่อเข้ารับการรักษา
- เมืองไทยสไมล์คลับ ศูนย์รวมกิจกรรมความสุข รวมถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ มุ่งมั่นส่งมอบความสุขและรอยยิ้มให้ลูกค้าผ่านหลากหลายกิจกรรม
- MTL Fit แอปพลิเคชันดูแลสุขภาพที่จะทำให้คุณได้รู้จักสุขภาพของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น รวมไปถึงการเชื่อมต่อกับเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจในด้านต่างๆ (Ecosystem Partners) ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายสถานพยาบาล พันธมิตรในตลาด อีคอมเมิร์ซ และพันธมิตรในกลุ่มสตาร์ทอัพ ที่จะช่วยทำให้ลูกค้าของเมืองไทยประกันชีวิต ได้รับความสะดวก และเข้าถึงการบริการได้มากยิ่งขึ้น
เมืองไทยประกันชีวิต ชู “Health 5.0” การดูแลสุขภาพที่เข้าถึงทุกคน
จากภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตไทยในปัจจุบัน ที่มีสัดส่วนคนไทยที่ทำประกันชีวิตเทียบกับจำนวนประชากรทั้งหมดอยู่ที่ร้อยละ 40 และมีสัดส่วนมูลค่าธุรกิจประกันชีวิตในไทยเมื่อเทียบกับมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือจีดีพี เพียงร้อยละ 3.8 จึงถือว่าเป็นโอกาสทางธุรกิจและโจทย์ใหญ่สำหรับธุรกิจประกันชีวิต “ทำอย่างไรให้คนเข้าถึงประกันชีวิตได้มากขึ้น” เมืองไทยประกันชีวิต จึงตอบโจทย์ดังกล่าวด้วยกลยุทธ์ ‘Health 5.0’” การดูแลสุขภาพที่เข้าถึงทุกคน
“สถานการณ์ของโควิด-19 ที่แพร่ระบาดในไทยช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้คนเห็นถึงความสำคัญของการทำประกันชีวิตควบคู่กับการมีความคุ้มครองด้านสุขภาพมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดประกันสุขภาพในไทยเติบโตสูงมากในช่วงที่ผ่านมา แต่โจทย์ท้าทายต่อไป คือ จะทำอย่างไรให้คนเข้าถึงประกันชีวิตได้มากขึ้น เราจึงตั้งกลยุทธ์ “Health 5.0” ที่มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และนวัตกรรมสำหรับความคุ้มครองสุขภาพที่เข้าถึงได้และเท่าเทียมในทุกกลุ่ม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้ทุกคนดีขึ้น” สาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงที่มาของกลยุทธ์ “Health 5.0” ยุทธศาสตร์ใหม่ของเมืองไทยประกันชีวิต
สิ่งแรกที่เมืองไทยประกันชีวิตเริ่มทำ คือ เปลี่ยนแนวคิด (Mindset) ในการทำธุรกิจใหม่ โดยให้ความสำคัญกับ Outside In ที่จะมุ่งคำนึงถึงมุมมองของลูกค้าเป็นอันดับแรกว่ามีความต้องการอะไร โดยนำข้อมูล (Data) มาช่วยในการวิเคราะห์และออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแบบเฉพาะตัว (Personalization) และสามารถครอบคลุมได้ทุกเพศทุกวัย รวมถึงกลุ่ม LGBTQIA+
“ไม่ว่าจะเป็นคนตัวเล็ก หรือตัวใหญ่ มีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน ทั้งคนโสด มีครอบครัว คนวัยทำงาน ผู้เกษียณอายุ เจ้าของกิจการ พนักงานออฟฟิศ ฟรีแลนซ์ แม่บ้าน คนขับรถ พนักงานรักษาความปลอดภัย ก็สามารถเข้าถึงความคุ้มครองจากเมืองไทยประกันชีวิตได้” สาระกล่าว
ปัจจุบัน เมืองไทยประกันชีวิต มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะตัวของลูกค้า ซึ่งรวมถึงความคุ้มครองสุขภาพ สำหรับผู้ที่มีโรคต่างๆ เช่น ความคุ้มครองสุขภาพสำหรับผู้เป็นโรคเบาหวาน การคิดเบี้ยประกันภัยสำหรับคนที่เป็นโรคดังกล่าว จะขึ้นอยู่กับระดับค่าน้ำตาลในเลือด หากปริมาณน้ำตาลในเลือดลดลง เบี้ยประกันภัยจะลดลงตามไปด้วย ถือว่าเป็นการส่งเสริมให้ผู้คนดูแลใส่ใจสุขภาพมากขึ้น และมุ่งสนับสนุนให้ทุกคนมีสุขภาพดี
นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์คุ้มครองสุขภาพเหมาจ่าย “Elite Health Plus” และ “D Health Plus” ที่คุ้มครองทั้งค่าห้องและค่ารักษา ครอบคลุมทั้งโรคร้ายแรง โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคระบาด โรคอุบัติใหม่ โรคทั่วไป และอุบัติเหตุ โดยประกันคุ้มครองสุขภาพ Elite Health Plus จะคุ้มครองครอบคลุมค่าห้องและค่ารักษาเหมาจ่ายตั้งแต่ 20-100 ล้านบาทต่อปี ขณะที่ D Health Plus ให้ความคุ้มครองเหมาจ่ายตั้งแต่ 1-5 ล้านบาทต่อการรักษาครั้งใดครั้งหนึ่ง ทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์ สามารถเลือกซื้อความคุ้มครองเพิ่มได้ตามต้องการ เช่น ตรวจสุขภาพ ทำฟัน ดูแลสายตา หรือคุ้มครองการคลอดบุตร
สร้างระบบนิเวศทางธุรกิจ (Business Ecosystem) เพื่อเชื่อมต่อการดูแลสุขภาพแบบครบวงจร
สาระกล่าวว่า “ด้วยโครงสร้างธุรกิจของกลุ่มเมืองไทยประกันชีวิตนั้น มีเมืองไทยประกันชีวิต มีบริษัทที่เป็น อินชัวร์เทค (Insurtech) และมี Venture Capital (VC) ที่เป็นเสมือนกองทุนร่วมลงทุนที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างสตาร์ทอัพ (Startup) ที่ล้วนเสริมกันในการสร้างศักยภาพ เพื่อพัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์ รวมถึงต่อยอดการบริการในด้านต่างๆ ให้สามารถครอบคลุมการดูแลสุขภาพแบบครบวงจร รวมไปถึงสถานพยาบาลและศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งการดำเนินงานดังกล่าวจะอยู่ภายใต้ข้อกำหนดของกฎหมายอย่างเคร่งครัด”
ปัจจุบัน เมืองไทยประกันชีวิต ได้พัฒนาและผสมผสานรูปแบบการบริการและเทคโนโลยีที่ทันสมัย และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าหลากหลายกลุ่ม อาทิ