‘แสนสิริ’ บุกนิวยอร์ก ปักหมุดย่าน SoHo เปิดตัว The Manner ก้าวสู่ Global Brand - Forbes Thailand

‘แสนสิริ’ บุกนิวยอร์ก ปักหมุดย่าน SoHo เปิดตัว The Manner ก้าวสู่ Global Brand

FORBES THAILAND / ADMIN
06 Nov 2024 | 02:00 PM
READ 975

แสนสิริ เผยโฉมความภาคภูมิใจล่าสุด ประกาศเปิดตัว ‘The Manner’ (เดอะ แมนเนอร์) โรงแรมระดับลักชัวรี่ มูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้านบาท แลนด์มาร์กใหม่ที่สร้างสรรค์อย่างหรูหรา คลาสสิก ผสานงานคราฟท์ในทุกดีเทล บนที่สุดของทำเลใจกลางโซโห (SoHo) ในมหานครนิวยอร์ก หนึ่งในทำเลหายากที่มีมูลค่าที่ดินสูงสุดในโลก โดย The Manner เป็นแบรนด์ลักชัวรี่โฮเทลใหม่แห่งแรก ภายใต้การพัฒนาของ Standard International หลังจากเข้าลงทุนโดยกลุ่ม Hyatt


โรงแรมที่ให้ความรู้สึกเหมือนมาพักบ้านเพื่อนเทสต์ดี

    The Manner ฉีกรูปแบบของโรงแรมระดับลักชัวรี่ กับคอนเซ็ปท์ของไวบ์ดี (good vibe) เซอร์วิสเยี่ยม ให้ประสบการณ์ความเป็นอยู่มากกว่าที่พัก ภายใต้บรรยากาศของการ “แวะมานอนเล่นที่บ้านเพื่อนเทสต์ดีในนิวยอร์ก” (welcomed into the home of dear friend) พร้อมห้องพัก Duplex Penthouse 2 ชั้นซึ่งมีเพียงห้องเดียวกับวิวที่หายากของนิวยอร์ก และห้องพักหลากหลายรูปแบบ ตกแต่งในหลากหลายดีไซน์รวมทั้งหมด 97 ห้อง

    แต่ละห้องโดดเด่นด้วยดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ให้ความสำคัญในทุกรายละเอียด ตั้งแต่งานออกแบบภายในเรียบหรูและคลาสสิกอย่างมีสไตล์ และประสบการณ์สุดไพรเวท นอกเหนือจากห้องพักระดับลักชัวรี่แล้ว The Manner ยังมอบบริการที่อบอุ่นและใส่ใจแบบเฉพาะบุคคล ตอบโจทย์นักเดินทางระดับลักชัวรี่ ที่ต้องการการพักผ่อนแบบมีคุณภาพ รวมถึงชอบงานดีไซน์ที่เฟ้นหามาอย่างดีที่สุด กับบรรยากาศที่เป็นกันเอง โดยราคาห้องพักเริ่มต้นที่ประมาณ 30,000++ บาทต่อคืน



    การเปิดตัวครั้งแรกของ The Manner โรงแรมใหม่ระดับลักชัวรี่ใจกลางย่านโซโหของนิวยอร์กครั้งนี้มีมูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้านบาท (หรือกว่า 150 ล้านเหรียญสหรัฐ) ตอกย้ำศักยภาพของแสนสิริในฐานะผู้พัฒนาอสังหาฯ ระดับลักชัวรี่และซูเปอร์ลักชัวรี่ของไทย ทั้งยังเป็น Design Leader ผู้นำด้านดีไซน์ที่ก้าวสู่ระดับ Global Brand

    นับเป็นอีกครั้งสำคัญของแสนสิริ ในการรุกพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ หลังประสบความสำเร็จจาก 9 Elvaston Place โครงการระดับไฮเอนด์แรกของแสนสิริ เพียง 6 ยูนิต ในใจกลางลอนดอน ประเทศอังกฤษ มูลค่ารวม 600 ล้านบาท

    จากข้อมูล Luxury Travel Trend Watch: 2025 โดย Virtuoso และ Globetrender พบว่าเทรนด์การท่องเที่ยวแบบลักชัวรี่ (Luxury and Hi-end Travelling) กำลังได้รับความนิยม นักเดินทางระดับสูงกลุ่ม HNWI (High-Net-Worth Individuals) ส่วนมากมีอายุน้อยลง พร้อมจ่ายเพื่อไลฟ์สไตล์การพักผ่อนที่ตอบโจทย์ รวมถึงชอบสังสรรค์ในพื้นที่ที่ไพรเวทเป็นส่วนตัว ตลอดจนพักผ่อนคุณภาพในโรงแรมที่มีสไตล์และดีไซน์สะท้อนรสนิยม


The Manner ความหรูหราผสานงานคราฟท์ชั้นเยี่ยม

    แสนสิริ ในฐานะ Design Leader ผู้รังสรรค์ที่อยู่อาศัยระดับแลนด์มาร์กของประเทศไทย มากว่า 40 ปี นำความเชี่ยวชาญและเฮอริเทจที่ฝังแน่นอยู่ใน DNA ถ่ายทอดดีไซน์และประสบการณ์ที่ The Manner ออกแบบในสไตล์เรียบโก้แต่โดดเด่นมีเอกลักษณ์ เน้นความประณีตและพิถีพิถันในการออกแบบ ตั้งแต่ประสบการณ์บรรยากาศการเข้าพัก, งานออกแบบและตกแต่งภายใน, การบริการที่มอบความเป็นส่วนตัวและ tailored เฉพาะบุคคล, การต้อนรับอย่างอบอุ่น ไปจนถึงชุดยูนิฟอร์มพนักงานที่ออกแบบโดย Michael Halpern ดีไซเนอร์ระดับกูตูร์ชาวลอนดอน และตัดเย็บชุดโดย Lady & Butler แบรนด์แฟชั่นดังในนิวยอร์ก เพื่อตอบโจทย์นักเดินทางระดับลักชัวรี่ที่ไม่เพียงแค่ต้องการที่พักผ่อน แต่ยังมองหาประสบการณ์ที่เหนือระดับและตอบโจทย์รสนิยม



    The Manner ออกแบบโดย Verena Haller, Chief Design Officer จาก Standard International และ Hannes Peer สถาปนิกชาวมิลาน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ Hannes Peer ได้นำความท้าทายและความเชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมมาใช้กับงานออกแบบตกแต่งภายใน โดยสร้างสรรค์พื้นที่ภายในโรงแรมอย่างลงตัวด้วยลูกเล่นของพื้นผิว texture วัสดุ และองค์ประกอบพิเศษต่างๆ ผสานกับการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ที่สั่งทำพิเศษเข้ากับงานตกแต่ง วัสดุที่สะท้อนความหรูหราและคลาสสิก เช่น ทองเหลือง, ไม้ สร้างไวบ์ของการพักผ่อนที่แท้จริง มากกว่าการใช้ของที่มูลค่าราคาสูง

    นอกจากนี้ ยังรวบรวมงานอาร์ตและ sculpture จากหลากหลายศิลปินทั่วโลกมาไว้ที่นี่ อาทิ เสา Totem สีดำ ในล็อบบี้ โดย Nicholas Shurey, Ceramic Wall Art โดย Giovanni de Francesco ศิลปินชาวอิตาลี, Elvira Solana, Alex Proba and Ben Medansky

    The Manner ประกอบด้วยห้องพัก 97 ห้อง เป็นห้องสวีท 10 ห้อง ออกแบบให้เป็นห้องพักสำหรับแขกผู้มาเยือนอย่างแท้จริง ทุกรายละเอียดในห้องพักออกแบบอย่างพิถีพิถัน เงียบสงบ บนพื้นที่ไพรเวทเป็นส่วนตัว เรียบง่าย ขนาดตั้งแต่ 300 ถึง 850 ตารางฟุต โดยแต่ละห้องออกแบบเพื่อหลีกหนีจากความวุ่นวายภายนอก ตกแต่งด้วยกระจกสูง เพดานสูง จากพื้นจรดเพดานเพื่อเปิดรับวิวเมือง โคมไฟแชนเดอเลียที่จัดวางอย่างมีสไตล์ การเล่นสีสันตัดกันระหว่างสีของไม้วีเนียร์เข้มวาววับและสีน้ำเงินเข้มเคลือบแล็กเกอร์ภายในห้องพัก สร้างความบาลานซ์ให้กับพื้นที่และแสงสว่าง เพิ่มความอบอุ่นด้วยสีสันโทนอ่อน นอกจากนี้ ยังมีเฟอร์นิเจอร์ชิ้นสั่งทำพิเศษ ให้ความหรูหราในกลิ่นอายแบบย้อนยุคและร่วมสมัย


    amenities ภายในห้องพัก ยังได้รับการคัดสรรค์ และร่วมมือกับแบรนด์ชั้นนำทั่วโลก รังสรรค์แบบ handcrafted เป็นพิเศษ ตั้งแต่ Lenys World แบรนด์ slipper จากอิตาลี, Foundrae แฟชั่นจิวเวลรี่แบรนด์ที่ยอดนิยมในเหล่าเซเลบริตี้คนดัง, Atelier Saucier เครื่องใช้ในห้องน้ำระดับพรีเมียม, Costa Brazil แบรนด์รักษ์โลกที่ทำ amenities ขึ้นพิเศษสำหรับที่นี่, Max ID แก้วน้ำดื่มรูปทรงเก๋ที่ใช้ภายในห้อง เป็นต้น และที่สำคัญ The Manner ไม่มีจอทีวี หรือ อุปกรณ์แท็บเล็ตใดๆ เพื่อไม่รบกวนวันพักผ่อนที่พิเศษของคุณ แต่ให้คุณได้เอนจอยกับ playlist เพลงโปรด กับเครื่องเสียงดีไซน์เก๋จาก Dampf


Duplex Penthouse สุดแรร์เพียง 1 ห้องกับระเบียงไอคอนิกวิว

    เพนท์เฮาส์ห้องใหญ่สุดไพรเวท 2 ชั้น (Duplex) ขนาดกว่า 1,800 ตารางฟุต บนที่ชั้น 12 และ 13 พาคุณย้อนเวลากลับไปสู่ยุครุ่งเรืองของนิวยอร์กกับความหรูหราและสง่างาม แรงบันดาลใจจากสตูดิโอออฟฟิศสุดโมเดิร์นของ Halston Frowick แฟชั่นดีไซเนอร์ดังของยุคนั้น กับสไตล์ monochrome ใน Olympic Tower ที่เหล่าคนดังในวงการเซเลบริตี้ อาร์ติสและแฟชั่นดีไซน์เนอร์ต่างต้องมาแวะเวียน ถ่ายทอดการออกแบบสู่ The Manner




    โดดเด่นด้วยพื้นห้องสีแดงมันวาวสุดเปรี้ยว หน้าต่าง double-height เพิ่มความดราม่า เปิดรับแสงธรรมชาติและวิวเมืองภายนอก นอกจากนี้ ยังมี outdoor terrace สุดไพรเวท กับวิวตระการตาของ Mahattan’s Skyline รวมถึงห้องนอนชั้นบนพร้อมกับโต๊ะทำงาน ผู้เข้าพักยังได้รับสิทธิพิเศษในการใช้พื้นที่เอ็กซ์คลูซีฟสเปซ ชั้นดาดฟ้าของ The Manner rooftop เพื่อจัดงานปาร์ตี้สังสรรค์หรือนั่งชิลล์ดื่มด่ำกับวิวของมหานครนิวยอร์กได้แบบส่วนตัว

    บนชั้นสองของโรงแรม พบกับ The Apartment เอ็กซ์คลูซีฟเลานจ์สำหรับ guests-only แขกที่มาเข้าพักให้บรรยากาศแบบอบอุ่นสบายเหมือนอยู่บ้าน โดยสามารถแวะมานั่งพักผ่อน มิงเกิลและเอ็นจอยกับไวน์ แชมเปญ และ snacks ที่โรงแรมเตรียมให้ระหว่างวันได้ รวมถึง The Otter ร้านอาหาร All Day Seafood โดย Chef Alex Stupak ผู้ได้รับเสนอชื่อเข้าชิง James Beard รางวัลอันทรงเกียรติสำหรับร้านอาหารและเชฟของอเมริกา คัดสรรค์วัตถุดิบซีฟู้ดสดใหม่ทุกวัน



    โดย The Otter เปิดให้บริการทั้ง 3 รอบ สำหรับทั้ง breakfast, lunch และ dinner กับที่นั่งแบบ indoor และ outdoor และ Slone’s บาร์สุดเก๋ ที่เปรียบเหมือน jewel box ในยามค่ำคืน ที่มากกว่าค็อกเทลบาร์แต่เป็น Nightly cocktail party ที่พรั่งพร้อมด้วยเครื่องดื่มระดับวินเทจมากมาย และ rooftop กับดาดฟ้า ให้คุณได้ดื่มด่ำกับวิวทั้งย่านดาวน์ทาวน์และมิดทาวน์ โดย Slone’s พร้อมเปิดให้บริการช่วงเดือนมีนาคมปี 2568


เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ภูเก็ตฮอตต่อเนื่อง ‘บันยัน กรุ๊ป’ ประกาศเปิดโครงการหรูเพิ่ม มูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine