INTERGENERATION LIVING - Forbes Thailand

INTERGENERATION LIVING

การอยู่อาศัยร่วมกันของสมาชิกในครอบครัวทุกช่วงวัย หรือ Intergeneration Living เป็นรูปแบบ        การใช้ชีวิตของสังคมไทยในอดีตที่พ่อแม่ลูกและปู่ย่าตายายอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน แบ่งปันความสุข แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ทำกิจกรรมร่วมกัน และช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ครั้งหนึ่งรูปแบบการใช้ชีวิตอันอบอุ่นเช่นนี้เคยเลือนหายไปในสังคมไทย แต่ด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ส่งเสริมให้คนมีอายุยืนยาวขึ้น      และโลกในยุคปัจจุบันที่หลายประเทศกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย Intergeneration Living จึงกลับมามีบทบาทและได้รับความนิยมอีกครั้งทั้งในโลกตะวันออกและสังคมตะวันตก ที่เริ่มเห็นสมาชิกในครอบครัว          สองเจเนอเรชั่นขึ้นไปอยู่อาศัยร่วมกันมากขึ้น Intergeneration Living เป็นเทรนด์ที่เริ่มปรากฎในต่างประเทศมา 2-3 ปีแล้ว โดยรายงานวิจัยของ Resolution Foundation กลุ่มนักคิดอิสระในประเทศอังกฤษที่มีเป้าหมายที่จะยกระดับมาตรฐานการอยู่อาศัยของครอบครัวที่มีรายได้น้อยและปานกลางระบุว่า 1 ใน 5 ของชาวอังกฤษที่มีอายุระหว่าง 25-34 ปี ยังพักอาศัยอยู่กับพ่อแม่ และพบว่ามีบ้านประมาณ 1.8 ล้านครัวเรือน ที่มีสมาชิกในครอบครัวมากกว่าหนึ่งเจเนอเรชั่นอาศัยอยู่ด้วยกัน ในสหรัฐอเมริกา การอยู่อาศัยร่วมกันของคนหลายวัยก็กลับมาเป็นเทรนด์อีกครั้ง โดยในปี 2016 มี        ชาวอเมริกันถึง 64 ล้านคน หรือ 1 ใน 5 ของชาวอเมริกันทั้งหมดอาศัยในบ้านที่มีหลายเจเนอเรชั่น หลังจากสัดส่วนดังกล่าวลดลงจาก 21% ในปี 1940 เหลือ 12% ในปี 1980 ซึ่งจำนวนดังกล่าวถือเป็นการขยายตัวถึง 30% จากปี 2007 ที่มีเพียง 46.5 ล้านคนเลยทีเดียว จากเทรนด์ที่พบในประเทศใหญ่ๆ และประเทศอื่นหลายประเทศทั่วโลก ทั้งปัญหาด้านสุขภาพและการเข้าสู่สังคมสูงวัย บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ MQDC ในฐานะผู้พัฒนา  ที่อยู่อาศัยเพื่อส่งเสริมสุขภาพของผู้อยู่อาศัยและสร้างการใช้ชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน จึงได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศ ศึกษาและวิจัยการใช้ชีวิตของคนไทยและค้นหา Pain Point ของผู้อยู่อาศัย โดยพบว่า คนไทยมีความสุขลดลง จึงพัฒนาแนวคิด Intergeneration Living และออกแบบโครงการที่อยู่อาศัยที่ส่งเสริมการอยู่อาศัยร่วมกันอย่างมีความสุขของสมาชิกในครอบครัวทุกช่วงวัย เพราะการที่สมาชิกในครอบครัวได้อาศัยอยู่ด้วยกันเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทุกคนกลับมามีความสุขที่แท้จริงและเป็นความสุขที่ยั่งยืน รุ่งโรจน์ จงศุจิพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส แบรนด์ “มัลเบอร์รี่ โกรฟ” (MULBERRY GROVE) MQDC กล่าวว่า “คนไทยส่วนใหญ่ต้องการอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวใหญ่ เพราะการอาศัยอยู่ร่วมกันของคนหลากวัยได้สร้างความสุข ส่งเสริมให้มีอายุยืนยาวขึ้น อัตราเจ็บป่วยน้อยลง ซึ่งเป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศที่ให้      ผู้สูงอายุกับเด็กๆ มาอยู่ด้วยกัน จากเดิมผู้สูงอายุถูกส่งไปยังบ้านพักคนชราและลูกหลานพักอาศัยอยู่      อีกที่หนึ่ง ผลที่เกิดขึ้นคือ สภาพจิตใจของผู้สูงอายุแย่ลง มีความเหงามากขึ้น เราจึงได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับการอยู่อาศัยแบบหลายช่วงวัย พบว่าการได้อยู่ร่วมกันได้ใช้เวลาที่มีคุณภาพร่วมกัน ทำให้สุขภาพดีขึ้น สุขภาพจิตดีขึ้น นำไปสู่อายุที่ยืนยาวและมีความสุขมากขึ้น ด้วยโจทย์การส่งเสริมการอยู่อาศัยร่วมกันของคนทุกเจเนอเรชั่น โดยที่ไม่ต้องมีใครยอมแลกหรือเสียความสุขของตนเองไป นำมาสู่แนวคิดการพัฒนา MULBERRY GROVE SUKHUMVIT คอนโดมิเนียมใจกลางเมือง ที่มีการออกแบบยูนิตและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ตอบทุกความต้องการของคนทุกวัย ที่สามารถ    อยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ ในทำเลที่มีการเดินทางสะดวก ใกล้รถไฟฟ้า และสถานที่สำหรับ            ทุกเจเนอเรชั่น ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน ที่ทำงาน โรงพยาบาล และศูนย์การค้า สิ่งสำคัญในการพัฒนาคอนโดมิเนียมให้เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยแบบครอบครัวใหญ่ คือ การออกแบบ  ห้องพักและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ภายในโครงการรวมถึงการบริการที่มาเติมเต็มให้ทุกอย่างสามารถตอบสนองทุกเจเนอเรชั่นได้อย่างแท้จริง โดยการออกแบบห้องพักให้ทุกเจเนอเรชั่น มีพื้นที่ส่วนตัวและพื้นที่สำหรับใช้เวลาร่วมกัน ด้วยการวางผังให้ห้องพักอยู่คนละฝั่งของยูนิตเชื่อมต่อด้วยพื้นที่ที่ส่งเสริมการทำกิจกรรมร่วมกัน โดยเน้นการออกแบบด้วย Universal Design เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้สูงอายุ นอกจากการออกแบบห้องพัก สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการก็เป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนให้คน  กลับมาอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสวน 3 สวน สระว่ายน้ำ 4 สระ ที่ตอบโจทย์ทุกเจเนอเรชั่น ห้องยิม        สปาส่วนตัว ออนเซน ห้องแต่งตัว-ทำเล็บ ห้องโยคะ ห้องเต้นบัลเลต์และยิมกลางแจ้ง ที่จัดเต็มเพื่อสนับสนุนสุขภาพของผู้อยู่อาศัย การจัดพื้นที่ส่วนกลางสำหรับทำกิจกรรมในครอบครัวก็มีส่วนช่วยส่งเสริม Intergeneration Living ไม่ว่า  จะเป็นห้อง Afternoon Tea หรือ Residence’s Lounge ที่เสิร์ฟชายามบ่ายให้กับลูกบ้านทุกวัน      เพื่อส่งเสริมให้ทุกคนได้มาใช้เวลาร่วมกัน หลานๆ สามารถพาคุณตาคุณยายมาจิบชา ชิมขนมยามบ่าย    ติดกับห้อง Afternoon Tea ก็มีห้องเกม ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่วิจัยมาแล้วพบว่า เป็นสิ่งที่สร้าง      ความสัมพันธ์ของคนแต่ละรุ่นได้ นอกจากนี้ยังมี Grand Private Living and Dining Room        เป็นห้องรวมญาติสำหรับวันครอบครัวที่เกิดขึ้นได้ทุกวันมีได้ตลอดปี โดยไม่ต้องรอเทศกาลตรุษจีน ปีใหม่  หรือเลี้ยงรับปริญญา สำหรับการบริการถือเป็นจุดสร้างความแตกต่างได้ การจัด Caregiver ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ ดูแล    เหตุฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง Wellness Manager ที่ดูแลเรื่องการออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพ และให้      คำแนะนำ รวมทั้งจัดคลาสออกกำลังกาย และ Concierge Service หรือผู้ช่วยส่วนตัวสำหรับจองบริการต่างๆ นอกจากการออกแบบเพื่อ Intergeneration แล้ว MQDC ให้ความสำคัญกับ Well Being โดยคำนึงถึงความยั่งยืน ความมีสุขภาพที่ดีของผู้อยู่อ่าศัยและการที่ให้ความอุ่นใจด้วยการรับประกันยาวนานถึง 30 ปี โดยเลือกวัสดุที่ดี ที่กล้ารับประกันถึง 30 ปี ใน 4 หมวดหลักคือ โครงสร้าง หลังคา ประตู-หน้าต่าง และงานระบบไฟฟ้า-ประปา สร้างความอุ่นใจและมูลค่าเพิ่มให้กับทรัพย์สิน “ความสำเร็จของเราคือการได้เห็นครอบครัว Intergeneration หลากหลายช่วงวัยมีสังคมคุณภาพ      อยากเห็นครอบครัวคนไทยกลับมาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข มีเวลาคุณภาพร่วมกัน อยากให้ครอบครัวไทยมีความสุขที่แท้จริงและยั่งยืน ให้ทุกคนมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง หวังว่าโมเดลแบบนี้จะเกิดขึ้นที่เมืองไทยมากขึ้น” สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.mulberrygrove.com/projects/sukhumvit หรือ โทร. 1265