สิงห์ เอสเตท รายงานผลประกอบการปี 2567 โตต่อเนื่องสามปีซ้อน มีรายได้รวมทั้งสิ้น 15,095 ล้านบาท เตรียมจ่ายเงินปันผลให้แก่เหล่านักลงทุนหุ้นละ 0.01 บาท พร้อมโชว์รายได้จากโรงแรมสูงสุดเป็นประวัติการณ์โตเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 7%
บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ (SET:S) ประกาศผลประกอบการประจำปี 2567 มีรายได้จากธุรกิจหลักรวมทั้งสิ้น 15,095 ล้านบาท เตรียมเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 เพื่ออนุมัติจ่ายปันผลสำหรับผลดำเนินงานประจำปี 2567 จำนวน 0.01 บาทต่อหุ้น โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 14 มีนาคม 2568 เพื่อกำหนดสิทธิในการรับเงินปันผล
สำหรับรายได้ที่เติบโตขึ้นนี้ประกอบด้วยรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 3,485 ล้านบาท มีสัดส่วนยอดโอนกรรมสิทธิ์ระหว่างโครงการแนวราบและโครงการห้องชุด อยู่ที่ประมาณร้อยละ 50:50 ขับเคลื่อนจากโครงการศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส พัฒนาการ (SIRANINN RESIDENCES Pattanakarn), สริน ราชพฤกษ์-สาย 1(S’RIN Ratchapruek-Sai 1) และโครงการ ดิ เอ็กซ์โทร พญาไท-รางน้ำ (THE EXTRO Phayathai-Rangnam) และรายได้จากธุรกิจให้บริการจำนวน 11,568 ล้านบาท โดยเป็นรายได้หลักจากกลุ่มธุรกิจโรงแรม ที่มาพร้อมปัจจัยบวกจากภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวและกลยุทธ์การดำเนินงานที่เหมาะสม ทั้งนี้สามารถแบ่งรายละเอียดและแผนการดำเนินงานแบ่งตามประเภทธุรกิจดังนี้

ธุรกิจที่พักอาศัย : ในรอบปีที่ผ่านมาตลาดที่พักอาศัยเผชิญความท้าทายจากปัจจัยกดดันต่างๆ จากสภาวะเศรษฐกิจ ทำให้กำลังซื้อชะลอตัวลง เป็นผลให้รายได้รวมจากธุรกิจที่พักอาศัยชะลอตัว จากปีก่อน อย่างไรก็ตามในปี 2567 บริษัทยังเห็นการทยอยโอนกรรมสิทธิ์ของโครงการหลักยังดำเนินไปตามแผน อาทิ โครงการศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส พัฒนาการ (SIRANINN RESIDENCES Pattanakarn) และโครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36 (THE ESSE SUKHUMVIT 36) ที่ใกล้ปิดโครงการ (Sold out) ในต้นปี 2568 ในขณะที่โครงการที่เปิดตัวปลายปี 2566 ได้แก่ โครงการสริน ราชพฤกษ์-สาย 1 (S’RIN Ratchapruek-Sai 1) และโครงการ ดิ เอ็กซ์โทร พญาไท-รางน้ำ (THE EXTRO Phayathai-Rangnam) หนุนด้วยโครงการจากแบรนด์ใหม่ที่เริ่มเปิดตัวระหว่างปี อาทิ โครงการฌอน (SHAWN) ปัญญาอินทรา และโครงการฌอน (SHAWN) วงแหวนจตุโชติ ได้รับผลตอบรับที่น่าพอใจ
สำหรับปี 2568 บริษัทฯ เชื่อว่าโครงการที่เปิดตัวใหม่โดยมีรูปแบบของผลิตภัณฑ์แบบใหม่ที่มีแนวคิดที่แตกต่างจากผลิตภัณฑ์เดิมอย่าง โครงการสมิทธ์ รามอินทรา (SMYTH’S Ramintra), โครงการสมิทธ์ เกษตร-นวมินทร์ (SMYTH’S Kaset-Nawamin) และโครงการสริน พรานนก-กาญจนา (S’RIN Prannok-Kanchana) เป็นโครงการในระดับราคาตลาดลักชูรีที่กลุ่มสิงห์ เอสเตท มีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว จะเข้ามาช่วยกระตุ้นยอดขายและการโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2568 ได้
ธุรกิจโรงแรม : รายได้ของธุรกิจโรงแรมเติบโตขึ้น 7% จากปีก่อน สร้างระดับรายได้สูงสุดในประวัติการณ์ใหม่ติดต่อกันเป็นปีที่สอง แม้ว่าในระหว่างปีจะปิดปรับปรุงโรงแรมทราย ลากูน่า ภูเก็ต ไปเป็นระยะเวลาหกเดือน โดยแล้วเสร็จทั้งสิ้นปลายเดือนพฤศจิกายน 2567 ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานโดยรวมในปี 2567 มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยของทั้งพอร์ตฟอลิโอ 68% ใกล้เคียงกับปีก่อน ขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อห้อง (RevPAR) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อน มาอยู่ที่ระดับราคา 4,336 บาท โดยมีการขับเคลื่อนจากโรงแรมในประเทศไทย มัลดีฟส์ ฟิจิ และมอริเชียส ซึ่งความต้องการเข้าพักเติบโตอย่างต่อเนื่องตามอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว ผนวกกับกลยุทธ์ของบริษัทฯ ทั้งจากการปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์และการปรับแผนการตลาด นอกจากนี้ด้วยการบริหารต้นทุน และค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กำไรสุทธิเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน
สำหรับปี 2568 ทางบริษัทฯ มองว่าธุรกิจโรงแรมยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างรายได้ โดยเฉพาะจากโรงแรมที่เป็นกำลังหลัก เช่น กลุ่มโรงแรมในประเทศไทย ฟิจิ และมัลดีฟส์ มีห้องพักพร้อมขายเต็ม 100% สามารถรองรับความต้องการของนักท่องเที่ยวได้อย่างเต็มที่
ธุรกิจอาคารสำนักงาน : ถึงแม้ว่าธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่ายังอยู่ในช่วงที่เผชิญความท้าทายทั้งจากอุปทานในตลาดปัจจุบันและรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไป ในปี 2567 บริษัทฯ มีการปรับกลยุทธ์ที่ยังสามารถรักษาอัตราการเช่าของอาคารที่เปิดมานานแล้วเฉลี่ยที่ 81% นอกจากนี้ด้านอาคารเปิดใหม่ S-OASIS อัตราการเช่าทยอยเพิ่มขึ้นตามจำนวนของผู้เช่าใหม่
สำหรับปี 2568 บริษัทฯ ยังมุ่งมั่นที่จะรักษาอัตราการเช่าเฉลี่ยให้อยู่ในระดับ 80% รวมถึงคาดการว่าอาคารเปิดใหม่ S-OASIS ภายในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 จะมีอัตราการเช่าที่ 50% และทำให้ธุรกิจรายได้ประจำเติบโตดีขึ้น
ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและสาธารณูปโภค : ปัจจุบันโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ได้ถูกพัฒนาและก่อสร้างแล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อยในปี 2567 ทางบริษัทฯ เริ่มรับรู้รายได้จากการขายที่ดินจำนวน 56 ไร่ และค่าสาธารณูปโภคที่ทยอยเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนการใช้งานที่มากขึ้น นอกจากผลประกอบการจากการดำเนินงานหลัก บริษัทฯ ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมอีกประมาณ 180 ล้านบาท ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ช่วยเข้ามาเสริมให้กำไรจากการดำเนินงานที่เป็นรายได้ประจำของบริษัทฯ มีความสม่ำเสมอยิ่งขึ้น
สำหรับปี 2568 กลุ่มสิงห์ เอสเตท ยังมองว่าประเทศไทยยังมีเสน่ห์ต่อนักลงทุนต่างประเทศ ประกอบกับแนวโน้มจากการย้ายฐานการผลิต ดังนั้นจึงวางเป้าหมายการขายที่ดินไว้ที่จำนวน 200 ไร่ โดยบริษัทฯ อยู่ในระหว่างการนำเสนอพื้นที่ให้กับลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ ทั้งนี้ลูกค้าที่ให้ความสนใจ เป็นทั้งธุรกิจอาหารและธุรกิจด้านเทคโนโลยี นับเป็นธุรกิจที่มีอัตราการเจริญเติบโตสูงมาก ซึ่งจะทำให้รายได้จากการขายที่ดินและสร้างผลตอบแทนระยะยาวแก่บริษัทฯ อย่างมีนัยสำคัญ
ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘S’ เผยว่า “ผลการดำเนินงานภาพรวมของสิงห์ เอสเตท ปี 2567 ยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ แม้สภาวะตลาดมีผลต่อการชะลอตัวของบางธุรกิจ แต่เพราะกลุยทธ์การลงทุนของเราที่มีการกระจายความเสี่ยงได้อย่างหลากหลายกิจการ ทำให้เราสามารถสร้างผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่องและมีรายได้อย่างสม่ำเสมอ และมั่นใจว่าในปี 2568 บริษัทฯ จะขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความมั่นคง จากการมุ่งเน้นพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่สามารถตอบสนองความต้องการของตลาด สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่นักลงทุน และการเข้าลงทุนในโครงการที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากผลการดำเนินงานในรอบปี 2567 คณะกรรมการบริษัทฯ เห็นชอบให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น อนุมัติจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้น 0.01 บาทต่อหุ้น โดยจะขึ้น XD ในวันที่ 14 มีนาคม 2568”

ทั้งนี้ นอกจากการมุ่งสร้างผลตอบแทน สิงห์ เอสเตท ยังมุ่งสร้างธุรกิจแบบยั่งยืน โดยในปี 2567 บริษัทฯ สามารถเลื่อนชั้นอันดับเรตติ้งสู่ระดับ AA จากการประเมินผลหุ้นยั่งยืน SET ESG Rating ซึ่งบริษัทฯ ได้รับคัดเลือกให้อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืนต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 ตอกย้ำแนวทางการดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิดสร้างความหลากหลายที่สมดุลเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
“ตลอด 10 ปี ที่ผ่านมา ปัจจัยหนึ่งที่เรายึดถือมาโดยตลอดคือกระบวนการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน หรือการสร้างความเติบโตอย่างมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวมและผู้ที่มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ซึ่งผลจากการปฏิบัติดังกล่าว ก็ทยอยแสดงผลลัพธ์อย่างต่อเนื่อง ผ่านการได้รับรางวัลและความเชื่อมั่นที่ได้รับเสมอมา ดังนั้นสำหรับการก้าวเข้าสู่ปีที่ 11 เราจะเดินหน้าด้วยความมุ่งมั่นพร้อมรับมือกับทุกความท้าทาย และยังคงดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบ เต็มศักยภาพตามกรอบการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน” ฐิติมา กล่าวเสริม
ภาพ : สิงห์ เอสเตท
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : 'เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้' เตรียมสร้างศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ให้ 'วัตสัน ประเทศไทย' คาดแล้วเสร็จ เม.ย. ปี 69
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine