‘ไรมอน แลนด์’ เปิดแผนปี 67 เตรียมเปิดตัวบ้านหรูริมเจ้าพระยา ราคาหลังละ 1,000 ล้านบาท - Forbes Thailand

‘ไรมอน แลนด์’ เปิดแผนปี 67 เตรียมเปิดตัวบ้านหรูริมเจ้าพระยา ราคาหลังละ 1,000 ล้านบาท

RML (บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด มหาชน) โชว์ผลประกอบการปี 66 ยอดขาย (Presales) 1,912 ล้านบาท ชี้ปัจจัยความสำเร็จมาจากคอนโดฯ 2 โครงการพร้อมอยู่ ส่วนปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการพัฒนาโครงการแนวราบเจาะกลุ่มลูกค้ามหาเศรษฐีบนยอดพีระมิดของเซกเมนต์อัลตร้าลักชัวรี


    แม้ว่าปี 2566 เป็นปีที่เต็มไปด้วยความท้าทายของ RML แต่บริษัทฯ ยังสามารถบริหารการขายโครงการได้ในระดับที่น่าพึงพอใจ

    โดยสามารถปิดการขาย ‘ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์’ โครงการคอนโดมิเนียมภายใต้การร่วมทุนกับโตเกียว ทาเทโมโนะ อีกทั้งยังมีรายได้หลักมาจากการโอนกรรมสิทธ์โครงการนี้ โดยมียอดโอน 4,750 ล้านบาท หรือคิดเป็น 97% ของจำนวนยูนิตพร้อมโอน และ ‘เทตต์ สาทร ทเวลฟ์’ ที่ลูกค้าทยอยโอนอย่างรวดเร็ว มียอดโอนแล้วถึง 2,400 ล้านบาท หรือคิดเป็น 55% ของจำนวนยูนิตพร้อมโอน



    นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีรายได้ประจำ จากโครงการ ‘โอซีซี’ อาคารสำนักงานลักชัวรี Grade A+ สูงที่สุดในไทยที่สร้างเสร็จสมบูรณ์ ปัจจุบันมีอัตราการเช่าพื้นที่สำนักงาน และพื้นที่ค้าปลีก รวมถึงความสนใจจากลูกค้าแล้วประมาณ 70% สะท้อนให้เห็นว่าลูกค้าไว้วางใจในแบรนด์ RML ที่มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจ และสร้างโครงการที่มีคุณภาพบนมาตรฐานระดับโลก

    โดยในปี 2567 นี้ บริษัทฯ ได้มีการวางกลยุทธ์ทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง และพร้อมกับการปรับตัวมากขึ้น ด้วยการประกาศเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ ขึ้นอีกจำนวน 3,588 ล้านบาท สำหรับใช้ในการพัฒนาโครงการใหม่ เพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคงของรายได้ และกำไรของธุรกิจในอนาคต

    กรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร RML เปิดเผยว่า “จากภาพรวมผลประกอบการของ RML ที่เริ่มฟื้นตัวในปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าตลาดอสังหาฯ ลักชัวรีและอัลตร้าลักชัวรียังคงมีอุปสงค์ (Demand) สูง ดังนั้นในปี 2567 RML พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์ใหม่ที่จะขับเคลื่อนธุรกิจต่อไปอย่างมั่นคง ควบคู่ไปกับการมุ่งสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ

    โดยเราจะให้ความสำคัญกับการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ ประกอบกับบริหารการเงินของบริษัทฯ ให้มีกระแสเงินสดเพียงพอ มีสภาพคล่อง มีโครงสร้างองค์กรที่สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจ เพื่อถือครองตำแหน่งหนึ่งในผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่ และอัลตร้าลักชัวรีของไทย ซึ่งจะเป็นการพลิกโฉม RML สู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต”

    ในปี 2567 บริษัทฯ จะเดินหน้าสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องผ่านการเติมเต็มพื้นที่เช่า ‘โอซีซี’ ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนในสัดส่วน 60:40 ระหว่าง RML และ มิตซูบิชิ เอสเตท (ประเทศไทย) ซึ่งปัจจุบันมีอัตราการเช่าพื้นที่แล้วรวม 70% หลังจากโครงการสร้างแล้วเสร็จเพียง 6 เดือนเท่านั้น (พื้นที่ให้เช่าทั้งหมดรวมประมาณถึง 61,000 ตารางเมตร อัตราค่าเช่าเฉลี่ย 1,500 บาท/ตร.ม.)


    ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทั้งยังสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ อีกด้วย โดยโครงการมีบริษัทระดับโลกมากมายมาเช่าพื้นที่ อาทิ เดอะ บอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป (ประเทศไทย) บริษัทที่ปรึกษาระดับโลก, ธนาคารบีเอ็นพี พารีบาส์ ธนาคารสัญชาติฝรั่งเศสที่ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก รวมไปถึงมารูเบนิ กลุ่มบริษัทชั้นนำของประเทศญี่ปุ่นที่มีธุรกิจหลากหลายครอบคลุม 8 อุตสาหกรรมหลัก และอีกหลายบริษัทในเครือมิตซูบิชิ กรุ๊ป

    ด้วยการตอบรับและแนวโน้มที่ดีเช่นนี้จึงทำให้ ‘โอซีซี’ มีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาไปสู่การลงทุนในรูปแบบ Private Equity Trust (PE Trust) หรือ Real Estate Investment Trust (REIT) ที่ให้ผลตอบแทนจากการเช่าที่น่าพึงพอใจ ซึ่งจะได้รับการยอมรับจากสถาบันการเงินระดับภูมิภาคสำหรับศักยภาพ และผลตอบแทนจากการลงทุนที่โดดเด่น ทั้งนี้ การพัฒนา PE Trust หรือ REIT ที่ประสบความสำเร็จจะเสริมควาแข็งแกร่งให้กับสถานะการเงินของบริษัทฯ ให้เติบโตอย่างยั่งยืน

    นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังพัฒนาธุรกิจต่อเนื่องด้วยการเพิ่มสัดส่วนการพัฒนาโครงการแนวราบเจาะกลุ่มลูกค้ามหาเศรษฐีบนยอดพีระมิดของเซกเมนต์อัลตร้าลักชัวรี ที่ปัจจุบันยังมีการพัฒนาอยู่น้อย แต่มีดีมานด์เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    โดยเตรียมเปิดตัว 3 สุดยอดโครงการบนทำเลทองของหัวเมืองหลัก ได้แก่

    -โครงการบนทำเลใจกลางพร้อมพงษ์-ทองหล่อ มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท ด้วยราคาขายเฉลี่ย 400–700 ล้านบาทต่อหลัง

    -โครงการ Branded Residential Villa ระดับอัลตร้าลักชัวรี ทำเลอ่าวกมลา จังหวัดภูเก็ต มูลค่าโครงการ 12,000 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ย 600-1,000 ล้านบาทต่อหลัง

    -โครงการแนวราบระดับอัลตร้าลักชัวรีริมแม่น้ำเจ้าพระยา ราคาขายประมาณ 1,000 ล้านบาทต่อหลัง

    โดยทั้ง 3 โครงการ จะได้รับการสนับสนุนจากกองทุนที่จะจัดตั้งขึ้นโดยบริษัทฯ โดยมีบริษัทฯ เป็นผู้ลงทุนหลัก พร้อมกับนักลงทุนสถาบันด้านอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงได้รับสนับสนุนเงินกู้จากสถาบันการเงินเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนตามความเหมาะสม อีกทั้งบริษัทฯ ยังปรับรูปแบบการบริหารสินทรัพย์ที่มีอยู่ในโครงการมิกซ์ยูสริมแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อเปิดขายให้กับนักลงทุนอีกด้วยเช่นกัน



​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : เปิดแผน SC Asset ลุยแนวราบ 15 โครงการ มูลค่ารวม 25,000 ล้าน

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine