JLL บริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาฯ ชั้นนำของโลก เปิดบ้านฉลองครบรอบ 35 ปีการดำเนินธุรกิจในไทย โชว์ความสำเร็จบริหารพอร์ตพื้นที่เช่าสิ้นปีนี้แตะ 7.5 ล้านตารางเมตร พร้อมเผยมุมมองเทรนด์อสังหาฯ ไทย ชี้ตลาดตึกออฟฟิศไม่น่ากังวล แต่คนกำลังย้ายออกจากอาคารเก่าไปอาคารใหม่ที่มีคุณภาพมากกว่า ส่วนภาคอุตสาหกรรม การสร้าง ‘ดาต้าเซ็นเตอร์’ ที่ว่าร้อนแรงแล้วยังอยู่แค่ในระยะเริ่มต้น
เจแอลแอล (NYSE: JLL) ประเทศไทย บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของโลกจากสหรัฐอเมริกา ฉลองการดำเนินธุรกิจครบรอบ 35 ปี ซึ่งเป็นหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นอันยาวนานของบริษัทสู่ความเป็นเลิศในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ และเติบโตไปพร้อมกับวิวัฒนาการของภาคธุรกิจอสังหาฯ ในประเทศไทยตลอด 3 ทศวรรษที่ผ่านมา
โครงการอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทยในยุคแรกๆ ส่วนใหญ่เป็นโครงการที่มีรูปแบบการใช้งานเพียงอย่างเดียว และค่อยๆ พัฒนาไปเป็นโครงการมิกซ์ยูส ที่มีการผสานอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่างๆ เข้าด้วยกัน
จนกระทั่งในปัจจุบัน ตลาดอสังหาฯ เดินทางเข้าสู่ยุคใหม่ที่มีการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสที่นำเสนอการใช้งานหลากหลายรูปแบบเข้าด้วยกันโดยสมบูรณ์ โครงการที่ล้ำสมัยเหล่านี้ยังเพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง สิ่งอำนวยความสะดวกและมาตรฐานระดับโลก ทั้งหมดนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาของผู้เช่าและผู้ใช้สอยพื้นที่ทั่วไป
“กรุงเทพฯ มีอาคารเก่าเยอะ แลนด์ลอร์ดจะต้องอัพเกรด เพื่อให้สามารถแข่งขันกับอาคารใหม่ๆ ได้” ไมเคิล แกลนซี่ กรรมการผู้จัดการ เจแอลแอล ประจำประเทศไทยและอินโดนีเซีย กล่าวถึงภาพรวมตลาดอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ ที่เขาเน้นย้ำว่าเทรนด์ Flight to Quality หรือการมองหาอาคารที่มีคุณภาพสูงเพื่อตอบโจทย์การทำงานสมัยใหม่ จะยังเป็นเทรนด์ที่มาแรงต่อเนื่อง
ไมเคิล เสริมอีกว่า ปี 2024 ที่แม้มีความท้าทายทางเศรษฐกิจ แต่กลับมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมายในตลาดอสังหาฯ โดยเฉพาะตลาดอาคารสำนักงานที่ภาพรวมค่อนข้างคึกคัก ปีนี้มีซัพพลายใหม่ๆ เข้ามาเป็นจำนวนมาก ผู้เช่าหลายรายย้ายจากตึกเก่าไปอยู่ตึกใหม่ ซึ่งแนวโน้มคาดว่าจะคึกคักต่อเนื่องไปในปี 2025 ด้วย เพราะปีหน้ามีหลายโครงการจะเปิดเพิ่มเติม รวมถึงมีผู้เช่าหลายรายจะตัดสินใจย้ายออฟฟิศไป
“เทรนด์ Flight to Quality จะรุนแรงขึ้น แม้ราคาจะแพงกว่าแต่บริษัทต่างๆ ก็อยากย้ายออกจากตึกเก่า ไปออฟฟิศใหม่ในอาคารใหม่ๆ ซึ่งภาพรวมตลาดนั้นแม้จะมีซัพพลายใหม่ๆ เข้ามา แต่ก็ล้วนแต่เป็นอาคารที่มีคุณภาพสูงขึ้น สอดรับกับความต้องการในตลาด นอกจากนี้ประเทศไทยยังเป็นตลาดที่ได้เปรียบเมื่อเทียบกับสิงคโปร์ และฮ่องกง คือแข่งขันได้มากกว่า ดังนั้น ประเด็นอาคารสำนักงานจะอยู่ในภาวะโอเวอร์ซัพพลายจึงไม่น่ากังวล แต่ตึกเก่าที่สูญเสียผู้เช่า อาจจะต้องดูรายละเอียดเพิ่มเติม” ไมเคิลกล่าว
เขายังเผยมุมมองต่อตลาดที่อยู่อาศัยว่าภาพรวมกำลังซื้อยังไม่ฟื้นตัว ผู้บริโภคหันไปเช่ามากขึ้น โดยเฉพาะคนเจเนอเรชั่นใหม่ๆ ที่เน้นเช่ามากกว่า ซึ่งส่งผลดีต่อตลาดลงทุนเพื่อปล่อยเช่า และมองว่าในปี 2025 ตลาดเช่าจะคึกคัก
ด้าน อนาวิล เจียมประเสริฐ หัวหน้าแผนกบริการงานวิจัยและให้คำปรึกษา บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จํากัด (JLL) กล่าวถึงธุรกิจโลจิสติกส์และอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่เจแอลแอลให้บริการว่า การพัฒนาอุตสาหกรรมมีแนวดน้มดีขึ้น บริษัทต่างๆ เริ่มมองหาที่ดินใหม่ๆ เพื่อมาพัฒนาอุตสาหกรรม
“ดาต้าเซ็นเตอร์เป็นเซ็กเตอร์ที่ร้อนแรงที่สุด ซึ่งไม่ใช่แค่ในไทย แต่รวมถึงเวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ที่บริษัทระดับโลกให้ความสนใจมาสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ อย่างไรก็ตาม แม้ตอนนี้เห็นการลงทุนใหม่ๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่เรียกได้ว่ายังอยู่ในช่วงเริ่มต้น จะมีการลงทุนเข้ามาอีกมาก เพราะ AI Generation ที่ทำให้ปริมาณการใช้ดาต้ามากขึ้นไปด้วย ดาต้าเซ็นเตอร์จึงเป็นจำเป็นที่จะมารองรับการเติบโตการใช้ AI นั่นเอง” อนาวิลกล่าว
มุมมองบริการรูปแบบใหม่ของ JLL
สำหรับเจแอลแอลนั้นกำลังปรับปรุงรูปแบบการนำเสนอบริการ เพื่อตอบสนองความต้องการที่กำลังเปลี่ยนแปลงของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ผ่าน 4 แผนงานหลัก ได้แก่ บริการด้านกลยุทธ์การจัดพื้นที่สำนักงานและการบริหารการเปลี่ยนแปลง (Workplace Strategy & Change Management) เพื่อช่วยเหลือผู้ใช้สำนักงานสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พื้นที่และสนับสนุนให้การเปลี่ยนแปลงดำเนินไปอย่างราบรื่น ผ่านการจัดลำดับความสำคัญของความต้องการที่แท้จริงของพนักงานและการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปรับเปลี่ยนได้ที่ช่วยเพิ่มกำลังผลผลิต
นอกจากนี้ เจแอลแอลยังได้นำเสนอบริการด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Energy & Sustainability Services: ESS) เพื่อสนับสนุนลูกค้าบนเส้นทาง ESG โดยนำเสนอโซลูชันที่ออกแบบมาอย่างเหมาะสม เพื่อพัฒนาแนวทางปฏิบัติงานที่ยั่งยืนและชี้แนะถึงวิธีการบรรลุเป้าหมายด้าน ESG อย่างเป็นรูปธรรม
ฝ่ายปรับปรุงและพัฒนาสินทรัพย์ (Asset Enhancement) จะช่วยแก้ไขกลยุทธ์การบริหารสินทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่ามาตรฐานตลาด โดยปรับปรุงประสิทธิภาพและปรับคุณสมบัติให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เช่าที่กำลังเปลี่ยนแปลง ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มมูลค่าพอร์ตโฟลิโอให้สูงสุดภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันสูงนี้
และเพื่อสนับสนุนบริการเหล่านี้ บริการให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี (Tech Advisory) ของเจแอลแอลจะช่วยให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจเลือกเทคโนโลยีสำหรับนำไปปรับใช้ในโครงการอสังหาริมทรัพย์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการดำเนินงานและการบริหารทรัพย์สิน
แผนงานทั้ง 4 สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเจแอลแอลในการนำเสนอนวัตกรรมที่พร้อมรับมือกับอนาคตเพื่อเพิ่มมูลค่าในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเจแอลแอลวางตำแหน่งบริษัทฯ ในฐานะผู้นำด้านการตอบสนองความต้องการที่หลากหลายและการเปลี่ยนแปลงไปของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ผ่านการนำเสนอบริการที่ครอบคลุมซึ่งตอบโจทย์ด้าน กลยุทธ์ในที่ทำงาน ความยั่งยืน การยกระดับสินทรัพย์ และการใช้งานเทคโนโลยีที่เหมาะสม
โชว์ความสำเร็จ 35 ปีในไทย
เจแอลแอล ประเทศไทย ก้าวขึ้นมาในฐานะผู้นำในหลายภาคธุรกิจ สำหรับภาคธุรกิจตลาดทุน บริษัทฯ ได้ให้คำแนะนำด้านการลงทุน การปล่อยเช่าและซื้อขายอสังหาริมทรัพย์มูลค่ารวมกว่า 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐในช่วงปี 2559-2566
โดยฝ่ายตลาดทุนของบริษัทฯ สามารถปิดการขายที่มีความซับซ้อนและมูลค่าสูงได้สำเร็จหลายโครงการในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ส่งให้บริษัทฯ ขึ้นแท่นบริษัทที่ปรึกษาอันดับหนึ่งสำหรับลูกค้าที่กำลังต้องการซื้อที่ดินหรือสินทรัพย์ กลยุทธ์การขายและปล่อยเช่าสินทรัพย์ มองหาพันธมิตรร่วมทุน และบริการจัดหาแหล่งเงินทุนสำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาฯ
สำหรับภาคธุรกิจโลจิสติกส์และอุตสาหกรรม เจแอลแอลได้ปิดการขายที่ดินหลายแปลงขนาดรวมประมาณ 1,600 เฮกเตอร์ (10,000 ไร่) ในช่วงปี 2561-2566 สำหรับภาคธุรกิจโรงแรมและบริการต้อนรับ เจแอลแอลได้เป็นตัวแทนซื้อขาย โรงแรมถึง 54 แห่ง รวมมูลค่ากว่า 66,000 ล้านบาทนับตั้งแต่ปี 2553 ซึ่งรวมถึงการเจรจาซื้อขายโรงแรมมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ตอกย้ำในด้านความเป็นผู้นำ ความเชี่ยวชาญ และความสำเร็จในภาคธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง
ทั้งนี้ ปัจจุบันเจแอลแอลได้บริหารพอร์ตโฟลิโอสินทรัพย์รวมมากกว่า 7.1 ล้านตารางเมตรทั่วประเทศไทย ซึ่งรวมถึงโครงการระดับโลกที่เพิ่งเปิดใหม่ไปเมื่อไม่นานมานี้อย่าง One Bangkok ซึ่ง ณ สิ้นปี 2567 พอร์ตโฟลิโอสินทรัพย์จะเพิ่มขึ้นเป็น 7.5 ล้านตารางเมตร
นอกจากนี้แผนกงานบริการวิจัยและให้คำปรึกษาของบริษัทได้รับรางวัล SEA Research Team of The Year ประจำปี 2567 จากทาง RICS (Royal Institution of Chartered Surveyors) และได้ให้คำปรึกษากับโครงการมากกว่า 360 โครงการ มีมูลค่าโครงการรวมเกินกว่า 500,000 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2558 ถึงปัจจุบัน
ความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศของเจแอลแอล ประเทศไทย ยังเห็นได้อย่างชัดเจนจากสำนักงานในกรุงเทพฯ ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานระดับ LEED Gold ด้านประสิทธิภาพการใช้พลังงานอันยอดเยี่ยม และเป็นสำนักงานแห่งแรกในประเทศไทยที่ได้การรับรอง WELL Platinum ซึ่งถือเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ของพื้นที่สำนักงานที่ให้ความสำคัญด้านสุขภาพของผู้คนเป็นหลัก
นอกจากนี้ เจแอลแอล ประเทศไทย ยังผ่านการรับรอง Great Place to Work® โดยพนักงาน 87% ยืนยันว่ามีประสบการณ์เชิงบวกในสำนักงานใหญ่ การยกย่องเหล่านี้สะท้อนถึงความทุ่มเทของเจแอลแอลในการสร้างวัฒนธรรมของสถานที่ทำงานได้อย่างโดดเด่น ผ่านการให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานและความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน
เจแอลแอลเล็งเห็นแนวโน้มในอนาคตและได้ระบุถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของตลาดอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ทั่วโลก พร้อมคาดการณ์ผลกระทบหลักต่อการพัฒนาธุรกิจอสังหา ฯ ในประเทศไทย ทั้งนี้บริการต่างๆ ของบริษัทจะมีความสอดคล้องไปกับ “อนาคตของวงการอสังหาริมทรัพย์” ซึ่งประกอบด้วยกลยุทธ์ที่ครอบคลุมในหลายมิติ
โดยบริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับความยั่งยืนเป็นอันดับแรก เนื่องจากกำลังเป็นหัวข้อหลักในการสนทนาและกระบวนการตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจอสังหา ฯ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เจแอลแอลมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนโดยการลงมือปฏิบัติในเห็นเป็นตัวอย่าง ทั้งนี้เพื่อที่จะสามารถให้คำปรึกษาเพื่อสนับสนุนให้ลูกค้าบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนทั้งในด้านธุรกิจอสังหาฯ พร้อมกับการมีส่วนร่วมสร้างสรรค์โลกที่ดีกว่าอย่างยั่งยืน
ภาพจาก JLL, Freepik
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : หนี้ครัวเรือนสูง กู้ไม่ผ่านพุ่ง! อสังหาฯ ไทยปี 2567 หดตัวหนัก KKP ชี้บ้านใหม่เสี่ยงเหลือค้างสูงสุดในรอบ 8 ปี
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine