ESTAR โชว์รายได้หลังทำนิวไฮกว่า 700 ล้านบาท ใน 5 โครงการฝั่งตะวันออก "บ้านฉาง-ระยอง" พร้อมเร่งเครื่องเปิดตัวโครงการใหม่ต่อเนื่องมูลค่ากว่า 1.2 พัน ล้านบาทในช่วงปลายปี
ไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ESTAR เผยว่า ในปีนี้บริษัทฯ สามารถปิดยอดขายโครงการพื้นที่ฝั่งระยอง-บ้านฉาง อาทิ โครง การบ้านสินทวี การ์เด้นท์ 2 โครงการแฮมเล็ต 3 โครงการเวลาน่า กอล์ฟ เฮ้าส์ ที่ปัจจุบันปิดโครงการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เช่นเดียวกันกับโครงการ บรีซ แอท อีสเทอร์น สตาร์ ฟอเรสโต้ ที่ตอนนี้ยอดขายอยู่ที่ 99% ซึ่งคาดว่าจะปิดได้ สำเร็จภายในสิ้นปีนี้ สำหรับโครงการเวลาน่า อะโมด้า อู่ตะเภา-บ้านฉาง ยอดขายตอนนี้ขึ้นมาที่ 96% และในส่วน ของโครงการแกรนด์ เวลาน่า ยอดขายตอนนี้อยู่ที่ 80%
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีโครงการที่เพิ่งเปิดใหม่ ได้แก่ โครงการเธร่า พรีม่า บูรพาพัฒน์-สุขุมวิท มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท ที่ตอนนี้ทำยอดขายได้แล้ว 75% ของเฟสแรก เช่นเดียวกับโครงการบรีซ ชาเล่ต์ บูรพาพัฒน์-สุขุมวิท มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท ที่ตอนนี้ยอดขายแตะอยู่ที่ 80% ของเฟสแรกเช่นกัน
ซึ่งภาพรวมสำหรับโครงการอีสตาร์ในพื้นที่ระยองปีนี้ "คาดว่าจะทำนิวไฮของบริษัทฯ กว่า 700 ล้านบาท นอกจากนี้ในปีหน้าบริษัทฯ ยังมีการลงทุนเพิ่มสำหรับขยายโครงการ เพื่อตอบรับผู้อยู่อาศัย ในทุกเซกเมนท์โดยมีจะการออกโปรดักส์ในราคาเริ่มตั้งแต่ 2 ล้านบาทต้นๆ ไปจนถึง 12 ล้านบาท ซึ่งตามคาดการณ์ จะสามารถรับรู้รายได้อยู่ที่ประมาณ 700 ล้านบาท" ผู้บริหารของ ESTAR กล่าวเสริม
จากการสำรวจพื้นที่ทำเลในบริเวณรัศมีรอบโครงการอีสเทอร์น สตาร์ พบว่า โซนระยอง-บ้านฉาง มีศักยภาพทำเลสูง เนื่องจากมีนิคมอุตสาหกรรมและประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น อีกทั้งยังมีเส้นทางคมนาคมที่หลากหลาย โดย เฉพาะสนามบินนานาชาติอู่ตะเภาที่ตอนนี้กำลังจะมีโปรเจกต์ในการสร้างส่วนต่อขยาย
อีกทั้งยังมีโครงการใน อนาคตที่เป็นเมกะโปรเจกต์ รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เชื่อม กทม. สู่ EEC คาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในปี 2029 ซึ่งหากมีเมกะโปรเจกต์เหล่านี้มาก็จะสร้างแหล่งงานมากขึ้นในพื้นที่ ทำให้ความต้องการอสังหาริมทรัพย์มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจึงเป็นผลให้บริษัทเดินหน้าการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบันตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจ.ระยองมีมูลค่าราว 25,000 ล้านบาท เฉพาะในส่วนของพื้นที่ "บ้านฉาง" คิดเป็นมูลค่า 2,700 ล้านบาท โดยทาง ESTAR ครองส่วนแบ่งตลาดอยู่ราวๆ 25% คิดเป็นมูลค่า 700 ล้าน ซึ่งกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักนั้น ผู้บริหารของ ESTAR ยังเผยด้วยว่า เน้นเป็นกลุ่มผู้บริหารบริษัทในนิคมฯ มาบตาพุด กลุ่มหมอ และพนักงานสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ตั้งแต่ช่วงวัยทำงาน อายุ 30-55 ปี รายได้เดือนละ 7 หมื่น-3 แสนบาท ซึ่งกลุ่มนี้ถือว่ามี กำลังซื้อศักยภาพสูง และโอกาสรีเจ็กต์เรตอยู่ในเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมาก
อย่างไรก็ตาม คาดว่าในปี 2567 สัดส่วนของอสังหาฯ แนวราบในระดับราคา 5 ล้านบาทขึ้นไปจะเพิ่มเป็น 80% จากปัจจุบันที่มี 75% และสัดส่วนของบ้านในราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท จะลดลงเหลือ 20% จากปัจจุบันที่มี 25% พร้อมวางแผนเปิดโครงการใหม่ 2 โครงการในปี 67 ในกรุงเทพฯ ที่จะพัฒนาเป็นทาวน์โฮมและบ้านเดี่ยวส่วนคอนโดมิเนียมนั้นอาจจะชะลอการพัฒนาออกไปก่อน
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : AWC ไตรมาส 3/2566 กำไรสุทธิ 1,136 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่องแม้เป็นช่วงโลว์ซีซั่น
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine