แผนระยะยาว “คันทรี่ กรุ๊ป” สร้างฐานรายได้จาก recurring income - Forbes Thailand

แผนระยะยาว “คันทรี่ กรุ๊ป” สร้างฐานรายได้จาก recurring income

หลังโครงการยักษ์เจ้าพระยา เอสเตทก่อสร้างเสร็จในปีนี้ “เบน เตชะอุบล” วางแผนให้ คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ (CGD) โตจากฐานรายได้ recurring income ด้วยธุรกิจหลากหลายในระยะยาว ผ่านการพัฒนาที่ดินย่านยานนาวา และบ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา

บมจ.คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ หรือ CGD รอเก็บเกี่ยวรายได้มานาน 9 ปีหลังจากเริ่มต้นดำเนินงานโครงการเจ้าพระยา เอสเตท โครงการ mix-used คอนโดมิเนียมและโรงแรมบนที่ดิน 36 ไร่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ถ.เจริญกรุง มูลค่าโครงการ 3.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งปี 2562 นี้จะเป็นปีแรกที่เริ่มรับรู้รายได้จากเจ้าพระยา เอสเตททั้งจากการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดฯ และโรงแรมที่เปิดบริการ เบน เตชะอุบล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ ตอบสั้นๆ ว่าบริษัท “มีโอกาสเห็นกำไร” ในปีนี้ เพราะจะมีการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดฯ โฟร์ซีซันส์ ไพรเวท เรสซิเดนซ์ กรุงเทพฯ อย่างน้อย 8 พันล้านบาทเข้ามา ร่วมกับรายได้ค่าบริการโรงแรมอีกบางส่วน การพลิกผลประกอบการเป็นกำไรของ CGD น่าจะเป็นสิ่งที่นักลงทุนรอคอยหลังจากที่บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2558
โรงแรมโฟร์ซีซันส์ กรุงเทพฯ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา คาดเปิดบริการต้นไตรมาส 4/62
ช่วงระหว่างรอเก็บเกี่ยวรายได้ของเมกะโปรเจ็กต์นี้ที่เริ่มก่อสร้างในปี 2558 CGD มีรายได้ที่หล่อเลี้ยงบริษัทจากการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดฯ อิลีเม้นท์ ศรีนครินทร์ มูลค่า 2.2 พันล้านบาท (ปัจจุบันปิดการขายแล้ว) นอกจากนั้นบริษัทยังมีการลงทุนเข้าซื้อดาต้า เซนเตอร์ให้เช่าในสหราชอาณาจักร ตามด้วยการลงทุนในกรรมสิทธิ์การเช่าอาคารในเมือง Brighton ประเทศอังกฤษระยะยาว 16 ปี มูลค่าลงทุน 18 ล้านปอนด์ เมื่อปี 2559 ซึ่งเบนกำลังมองหาพันธมิตรเพื่อบริหารกิจการโรงเรียนนานาชาติบนพื้นที่นี้  

หาโอกาสในธุรกิจอสังหาฯ ขาขึ้น

ซีอีโอ CGD กล่าวว่า การลงทุนทั้งหมดนั้นเป็นแผนการสร้างรากฐานอนาคตของคันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ ซึ่งจะมีรายได้มาจากสินทรัพย์หลัก 3-4 ด้านที่เป็น recurring income คือ ธุรกิจโรงแรม ดาต้า เซนเตอร์ และโรงเรียนนานาชาติ และอาจมีกลุ่มธุรกิจอื่นๆ เพิ่มเติมอีก สำหรับธุรกิจโรงแรม รายได้จะมาจากโรงแรมโฟร์ซีซันส์ กรุงเทพฯ แม่น้ำเจ้าพระยา และโรงแรมคาเพลลา กรุงเทพฯ ในโครงการเจ้าพระยา เอสเตทที่จะเริ่มเปิดบริการไตรมาส 4 ปีนี้ โดยเบนประเมินว่าเมื่อโรงแรมทั้งสองแห่งเปิดบริการเต็มปีและสร้างอัตราเข้าพักได้อย่างน้อย 75% น่าจะทำให้ธุรกิจกลุ่มนี้สร้างรายได้ให้บริษัทราว 2 พันล้านบาท ขณะที่ดาต้า เซนเตอร์นั้น บริษัทมีการลงทุนใน Anchorage Point ดาต้า เซนเตอร์ในกรุง London พื้นที่บริการ 2,294 ตารางเมตร ซึ่งมีอัตราการเช่าเต็ม 100% หลังจากนั้นได้ขายสินทรัพย์มูลค่า 1.5 พันล้านบาทนี้เข้ากอง REIT ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เอ็มเอฟซี อินดัสเตรียล (MIT) เมื่อเดือนธันวาคม 2558
Anchorage Point ดาต้า เซนเตอร์ ในอังกฤษ (PHOTO CREDIT: CGD)
ส่วนโรงเรียนนานาชาติ ใน Brighton ยังมองหาพันธมิตรในการบริหาร และมีโครงการที่จะก่อสร้างโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทยบนที่ดินของบริษัทเนื้อที่ 16 ไร่ บริเวณถนนวงแหวนอุตสาหกรรม ยานนาวา มูลค่าการลงทุน (ไม่รวมค่าที่ดิน) 3.7 พันล้านบาท ทั้งนี้ โครงการโรงเรียนนานาชาติเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินรวม 26 ไร่ในบริเวณนี้ซึ่งจะมีการพัฒนาโครงการอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง “ระยะยาวเราต้องการลงทุนในกลุ่มที่เป็น sunrise sector อย่างดาต้า เซนเตอร์หรือโรงเรียนนานาชาติ ซึ่งจะเป็น core asset ของเรา ส่วนอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายที่จะเข้ามาเสริม เราไม่กำหนด segment ว่าต้องลงทุนในกลุ่มไหน ดูตามจังหวะโอกาสการลงทุนที่ได้กำไรสูง โดยมองคอนเซปท์ว่าต้องแตกต่างจากแนวคิดเดิมที่มีในตลาด” เบนกล่าว นอกจากที่ดินแปลงยานนาวาแล้ว บริษัทยังมี ที่ดินเนื้อที่ 80 ไร่ริมถนนทางหลวงหมายเลข 314 (ถนนบางปะกง-ฉะเชิงเทรา) ใน อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา ใกล้โรงงานโตโยต้า บ้านโพธิ์ ซึ่งมองว่ามีโอกาสพัฒนาเป็นโครงการรีเทล แต่จะทยอยพัฒนาหลังโครงการที่ดินยานนาวาแล้วเสร็จ “โอกาสมีอีกมากและมองระดับโลก ไม่เฉพาะที่ไทย” เบนกล่าว