‘เอพี ไทยแลนด์’ เผยผลประกอบการครึ่งปีแรก รายได้รวมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 17,910 ล้านบาท - Forbes Thailand

‘เอพี ไทยแลนด์’ เผยผลประกอบการครึ่งปีแรก รายได้รวมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 17,910 ล้านบาท

PR / PR NEWS
21 Aug 2018 | 05:34 PM
READ 4374
เอพีสร้างนิวไฮครั้งใหม่ประกาศความสำเร็จครึ่งปีแรก 2561 สร้างรายได้รวมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 17,910 ล้านบาท ผลจากสินค้าแนวราบและคอนโดร่วมทุนที่โตอย่างต่อเนื่อง ด้านกำไรสุทธิโตขึ้น 72% หรือกว่า 1,980 ล้านบาท ยิ้มรับยอดขาย 7 เดือนแรกกว่า 2.5 พันล้านบาท มั่นใจตลาดอสังหาฯ ระดับกลางถึงไฮเอนด์ดีมานด์ให้การตอบรับดี เตรียมเปิดตัวโครงการไฮไลต์ระดับ Super Luxury ในสินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียมและบ้านเดี่ยว THE ADDRESS สยาม - ราชเทวี  และ THE PALAZZO ศรีนครินทร์ มั่นใจจะสามารถสร้างยอดขายและยอดรับรู้รายได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างแน่นอน อนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) เผยทัศนะต่อแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ว่า “ตลาดมีแนวโน้มการเติบโตดีขึ้นจากปัจจัยบวกหลายประการ กำลังซื้อในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังมีอยู่มากโดยเฉพาะตลาดระดับกลางบนถึงไฮเอนด์ ซึ่งยอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์ทั้งสินค้าแนวราบและคอนโดมิเนียม ถือเป็นตัวชี้วัดให้เห็นถึงกำลังซื้อที่ยังคงมีอยู่ของสินค้าระดับกลางบนได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เอพีมีอัตราการเติบโตที่สูงมากเป็นประวัติการณ์ โดยสร้างรายได้รวมจากสินค้าแนวราบ และกลุ่มคอนโด (100% JV) และธุรกิจอื่นๆ ได้สูงถึง 17,910 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48% หากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีรายได้รวมเท่ากับ 12,125 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิ (Net Profit) สูงถึง 1,988 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72% หากเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2560 ที่มีกำไรเท่ากับ 1,157 ล้านบาท “ภาพรวมตลาดในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ทั้งอายุของคนซื้อที่ลดน้อยลงเรื่อยๆ รวมถึงต้นทุนในการสรรหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการที่ถือเป็นตัวกรองสำคัญที่ทำให้ผู้เล่นในตลาดเหลือน้อยลง ซึ่งที่ผ่านมาสินค้าทั้งแนวราบ และคอนโดมิเนียมของเอพีถือว่าประสบความสำเร็จในสัดส่วนที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยรายได้รวมในครึ่งปีแรกมาจากสินค้าแนวราบมากถึง 8,677 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 53% และจากสินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียมจำนวน 8,740 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 43% หากเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า” สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 7 เดือนแรก ณ วันที่ 5 สิงหาคมนี้ บริษัทฯ สร้างยอดขายรวมได้แล้วถึง 25,030 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากคอนโดมิเนียมมูลค่า 12,855 ล้านบาท แนวราบมูลค่า 12,175 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายได้แล้วราว 75% ของเป้ายอดขายปี 2561 ที่ตั้งไว้ (เป้ายอดขาย 33,500 ล้านบาท) หากบริษัทฯยังคงรักษาระดับการขายในปัจจุบันเชื่อว่าจะสามารถ ทำยอดขายได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ หนึ่งใน Key Success ของการพัฒนาโครงการเอพีคือ การมีสินค้าที่หลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการของคนเมือง ทั้งในเรื่องของโมเดลสินค้าและจำนวนโครงการในทุกทำเลรอบกรุงเทพ โดยในครึ่งปีหลังนี้เอพีเตรียมเปิดตัว 2 โครงการไฮไลต์ระดับ Super Luxury ในสินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียมและบ้านเดี่ยว ด้วยแบรนด์ที่ครองใจผู้บริโภคนั่นคือ THE ADDRESS ในทำเลใจกลางเมืองอย่างราชเทวี ภายใต้ชื่อโครงการ THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี มูลค่า 8.3 พันล้านบาท และคฤหาสน์หรู THE PALAZZO ศรีนครินทร์ มูลค่า 1,750 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 โครงการจะพร้อมเปิดตัวในช่วงไตรมาส 4 “บริษัทฯ ยังคงมุ่งสู่เป้าหมายใหญ่ในการนำพาเอพีก้าวขึ้นสู่การเป็น 1 ใน 3 ของผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย ภายใต้พันธกิจสำคัญ คือ การส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีในการอยู่อาศัย ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งการคิดค้นนวัตกรรมดีไซน์ใหม่ๆ ให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย และวางแผนจัดตั้งหน่วยงานพิเศษ เพื่อทำหน้าที่ค้นหา คิดค้นและพัฒนานวัตกรรมที่ส่งเสริมและยกระดับรูปแบบการดำเนินชีวิตสู่ประสบการณ์อยู่อาศัยในอสังหาริมทรัพย์สู่วิถีใหม่ๆ อย่างครบถ้วนด้วยคุณภาพ ความสะดวกสบาย และความปลอดภัย เข้าถึงความหมายของคำว่าคุณภาพชีวิตที่ลูกค้าต้องการอย่างแท้จริง และยั่งยืนมากยิ่งขึ้น” นายอนุพงษ์ กล่าวทิ้งท้าย ทั้งนี้ สรุปปี 2561 บริษัทเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 38 โครงการมูลค่า 59,580 ล้านบาท โดยเปิดตัวในครึ่งปีหลังจำนวน 30 โครงการ มูลค่า 49,210 ล้านบาท แบ่งเป็นเปิดตัวในไตรมาส 3 จำนวน 12 โครงการ มูลค่า 17,980 ล้านบาท และในไตรมาส 4 จำนวน 18 โครงการ มูลค่า 31,230 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าจากผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ประกอบกับการปรับแผนธุรกิจรุกตลาดแนวราบมากยิ่งขึ้น และคอนโดมิเนียมไฮไลต์  จะสามารถสร้างยอดขายและยอดรับรู้รายได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ ณ 5 สิงหาคม 2561 บริษัทฯ มีสินค้ารอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ามากถึง 49,580 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบมูลค่าราว 6,595 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้ทั้งหมดภายในปีนี้ และคอนโดมิเนียมมูลค่า 42,985 ล้านบาท (รวมโครงการร่วมทุน) โดยจะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 2566