บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เผยทิศทางธุรกิจตั้งเป้ารายได้สูงสุดจาก 4 ธุรกิจหลัก เผย 5 ปีลงทุน 5 หมื่นล้านบาท ชูธุรกิจด้านโรงแรมทำรายได้ใหญ่สุดเป็นอันดับสองของประเทศ
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา สิงห์ เอสเตท ได้ปรับโครงสร้างธุรกิจ เน้นกลยุทธ์กระจายการลงทุนใน 4 กลุ่มธุรกิจซึ่งเป็นที่มาของกลยุทธ์รายได้แบบสูงสุดตั้งเป้าในปี 2565 ที่รายได้ 13,400 ล้านบาท ผ่านการการลงทุนเป็นจำนวนเงินราว 5 หมื่นล้านบาทภายใน 5 ปี สร้างรายได้เฉลี่ย CAGR ประมาณร้อยละ 25 ต่อปี รวมทั้งการจับมือกับพันธมิตรและการเปิดกองทุนเพื่อสร้างเม็ดเงินระดมทุนและเงินหมุนเวียน อาทิ การนำบริหารจัดการกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอส ไพรม์ โกรท หรือ SPRIME โดยคาดว่าปีนี้สิงห์ เอสเตท สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากผลงานในปี 2564 ซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 7,739 ล้านบาท อีกเกือบเท่าตัว โดยตั้งเป้าเป็นนิวไฮอยู่ที่ 1.34 หมื่นล้านบาท ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สิงห์ เอสเตท กล่าวว่า หลังปรับโครงสร้างธุรกิจได้พร้อมเดินหน้าใน 4 ธุรกิจหลักอันได้แก่ ธุรกิจที่พักอาศัย ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจอาคารสำนักงาน และนิคมอุตสาหกรรม รายได้ 1.34 หมื่นล้านบาทจะมาจากธุรกิจที่อยู่อาศัยร้อยละ 25 ธุรกิจอาคารสำนักงานร้อยละ 8 ธุรกิจโรงแรมร้อยละ 63 และธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและอื่นๆ ร้อยละ 4 สำหรับธุรกิจที่พักอาศัย ตั้งเป้ารายได้เพิ่มขึ้นเท่าตัวในปีนี้ จากการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดพร้อมอยู่ 2 โครงการได้แก่โครงการ The ESSE at Singha Complex และ The ESSE Asoke ที่รับรู้รายได้แล้ว 900 ล้านบาท โดยในกลุ่มคอนโดนิเนียมได้จับมือกับ HongKong Land พัฒนา The ESSE สุขุมวิท 36 มียอดพรีเซลร้อยละ 67 ขณะที่ยอดโอนอยู่ที่ร้อย 57 รวมไปถึงโครงการบ้านแนวราบ สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส ซึ่งมีมูลค่า Backlog อยู่ที่ 2,600 ล้านบาท โดยคาดว่าจะรับรู้รายได้ร้อยละ 70 ในปีนี้ นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดโครงการแนวราบเพิ่มอีก 1 โครงการในทำเลพัฒนาการที่ราคาต่อหลังราว 50-80 ล้านบาทในช่วงครึ่งหลังของปีนี้มูลค่าโครงการ 2,900 ล้านบาท โดยจะสามารถรับรู้รายได้ทันในปี 2565 นี้ ธุรกิจอาคารสำนักงาน กลางปีนี้จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของโครงการ S OASIS ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานพร้อมพื้นที่รีเทลแห่งใหม่ล่าสุดของย่านลาดพร้าวด้วยพื้นที่รวม 55,700 ตารางเมตร ซึ่งบริษัทตั้งเป้าว่าจะมีอัตราการเช่าพื้นที่ราวร้อยละ 50ในปีที่เปิดให้บริการ รวมถึงการกลับมาเปิดตัวอีกครั้งของโครงการ S METRO ที่ปรับปรุงเป็นอาคารสำนักงานหรูย่านพร้อมพงษ์แล้วเสร็จ ขณะที่กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอส ไพรม์ โกรท หรือ SPRIME ที่บริหารสัญญาเช่าอาคาร Sun Tower ทั้ง 2 อาคาร ย่านลาดพร้าว 30 ปี กำลังเข้าลงทุนในส่วนค้าปลีกของตึก Sun Tower รวมไปถึงการเข้าไปลงทุนในอาคารสำนักงาน Singha Esstae และ S METRO ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการอนุมัติจากทางตลาดหลักทรัพย์ฯ คาดว่าแล้วเสร็จในไตรมาส 3 ของปี 2565 ด้านธุรกิจโรงแรม ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดถึงประมาณร้อยละ 88 สร้างรายได้แตะ 8,500 ล้านบาท ทำให้ก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้ประกอบการโรงแรมไทยที่มียอดรายได้สูงขึ้นเป็นอันดับที่ 2 ของประเทศ เป็นผลมาจากกลยุทธ์การทำธุรกิจแบบกระจายความเสี่ยง ผ่านการมีโรงแรมในเครือที่ตั้งอยู่ในจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะพอร์ตในสหราชอาณาจักรและมัลดีฟส์ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มีการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวเร็วที่สุดของโลก ด้านความร่วมมือด้านการร่วมทุนนั้น ได้จับมือกับ วาย อีโค เวิลด์ ดีเวลลอปเปอร์ จำกัด (WEWD) พัฒนาโครงการรีสอร์ตแห่งใหม่พร้อมวิลล่าหรู 80 หลัง SO/ MALDIVES อีกสองแห่ง จากโครงการ CROSSROADS MALDIVES ที่ได้นำเดินการมาก่อนหน้านั้น ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาโครงการโรงแรมในเครือเพื่อเพิ่มรูปแบบการให้บริการเพื่อกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย เช่น การเพิ่มห้องพักแบบพูลวิลล่าในรีสอร์ตที่ประเทศมัลดีฟส์รองรับกลุ่มลูกค้าตะวันออกกลาง ตลอดจนการปรับสมดุลพอร์ตผ่านกลยุทธ์หมุนเวียนและต่อยอดการลงทุนที่จะยกระดับการให้บริการรวมถึงอัตราราคาห้องพักเฉลี่ยต่อวันสูงขึ้นได้ราว 10-20 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งคาดว่าโรงแรมในเครือที่มีการปรับปรุงใหม่แล้วเสร็จ จะสามารถสร้างผลกำไรที่เพิ่มขึ้นราวร้อยละ 40 โดยไม่ต้องใส่เงินลงทุนเพิ่มเติม ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ในปี 2565 มีความพร้อมในการรับรู้รายได้จากการขายและโอนที่ดินเป็นปีแรก หลังจากที่ได้มีการเข้าไปลงทุนและปรับพื้นที่และก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานไปแล้วในปี 2564 ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าโอนที่ดินในปีนี้ราว 15 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมซึ่งมีพื้นที่ขายรวมราว 992 ไร่ จากพื้นที่ของโครงการ 2,000 ไร่ โดยช่วงปลายปี 2564 สิงห์ เอสเตท ได้เข้าลงทุนในธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน โดยถือหุ้นร้อยละ 30 ในบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (อ่างทอง) 1 จำกัด ซึ่งดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าประเภทพลังความร้อนร่วม ด้วยกำลังผลิต 123 เมกะวัตต์ และปี 2565 บริษัทฯ จะสามารถรับรู้ผลประกอบการของโรงไฟฟ้าแห่งที่ 1 เต็มปีเป็นครั้งแรก นอกจากนี้ บริษัทยังได้ร่วมลงทุนกับ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (อ่างทอง) 2 จำกัด และ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (อ่างทอง) 3 จำกัด เพื่อพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมอีก 2 แห่งด้วยกำลังการผลิตรวม 280 เมกะวัตต์ ซึ่งการนำการโรงไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งจะสามารถดำเนินการจ่ายไฟฟ้าได้ในปี 2566 และสามารถนำไอน้ำกลับเข้ามาหมุนเวียนในนิคมอุตสาหกรรม ฐิติมา กล่าวเพิ่มเติมว่าวิสัยทัศน์และทิศทางการดำเนินธุรกิจของ สิงห์ เอสเตท ใน 5 ปีนี้ โดยพุ่งเป้าไปที่การสร้างซินเนอร์จีใน 4 กลุ่มธุรกิจเชื่อมโยงสู่โอกาสและการต่อยอดทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตโฟลิโอของบริษัทฯ และตอบโจทย์ความต้องการของตลาดในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นการมองการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับเมกะเทรนด์ อาทิ ด้าน Well Being อย่าง Medical Hub ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัล ทรานฟอร์เมชั่น "เราจะใช้ประโยชน์จาก 4 กลุ่มธุรกิจในการสร้างให้เกิดธุรกิจร่วมเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตของเรา และการเติบโตในครั้งนี้ เราจะไม่เดินคนเดียว การทำงานกับพันธมิตรในธุรกิจร่วมทุนทำให้เห็นถึงผลสำเร็จแบบวงกว้าง เราจึงกำลังอยู่ในระหว่างมองหาโอกาสในการร่วมมือกับพันธมิตรแขนงต่างๆ เพื่อให้เราสามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาด และเสริมสร้างความแตกต่างที่ดีที่สุดให้กับบริษัทฯ ได้ โดยเราคาดว่าความพยายามดังกล่าว จะผลักดันให้เราสามารถขยายการเติบโตทางธุรกิจภายใน 5 ปีข้างหน้าได้ที่ CAGR ประมาณ 25% ต่อปี" ฐิติมา กล่าวทิ้งท้าย อ่านเพิ่มเติม: POOL&SPA มั่นใจรายได้ปี 2565 สระว่ายในบ้านโตพร้อมรุกตลาด End Userไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine