บริษัท เอสเอฟ ดีเวลอปเมนท์ จำกัด ผู้บริหารศูนย์การค้า เมกาบางนา ฉลองความสำเร็จพร้อมก้าวเข้าสู่ปีที่ 10 ย้ำความเป็นผู้นำของศูนย์การค้ากรุงเทพฝั่งตะวันออก ที่ต้อนรับลูกค้ามาแล้วมากกว่า 500 ล้านคน ด้าน พลินี คงชาญศิริ ซีอีโอ เอสเอฟฯ ตั้งเป้าพัฒนาพื้นที่เพื่อคน ชุมชน และพันธมิตรร้านค้า


เดินหน้า "มิกซ์ ยูส” 6.7 หมื่นล้าน
ปี 2560 เมกาบางนาได้ประกาศการพัฒนาโครงการเมกาซิตี้ ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รูปแบบ “มิกซ์ ยูส” มูลค่ากว่า 67,000 ล้านบาท ซึ่งตามแผนพื้นที่นี้จะประกอบไปด้วยที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน โรงเรียน โรงแรม ศูนย์รวม Entertainment รูปแบบต่างๆ รวมไปถึง Attraction อื่นๆ โดยมีศูนย์การค้าเมกาบางนาเป็นศูนย์กลาง ซึ่งคาดว่าหากโครงการเสร็จสมบูรณ์จะทำให้มีผู้เข้ามาใช้บริการในโครงการเมกาซิตี้ และเมกาบางนาถึงวันละ 250,000 คน เกิดเป็นจำนวน Traffic ที่หมุนเวียน ทั้งเมกาบางนาและเมกาซิตี้ ซึ่งการวางแผนในภาพใหญ่ทั้งหมดนี้ จะทำให้โครงการของเราเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน เมกาซิตี้ เป็นโครงการลงทุนระยะยาว ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากพันธมิตรทางธุรกิจ และบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่เล็งเห็นโอกาสและศักยภาพของโครงการ โดยปัจจุบันเมกาซิตี้มีการพัฒนาไปแล้วกว่า 40% และได้มีการพัฒนาองค์ประกอบต่างๆ ไปแล้วอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ส่วนต่อขยายเมกา ฟู้ดวอล์ค ที่มาพร้อมกับที่จอดรถ 1,200 คัน และร้านอาหารเพิ่มกว่า 30 ร้าน, อาคารจอดรถอิเกีย 8 ชั้นที่เชื่อมต่อกับตึกเดิมของอิเกียที่รองรับรถได้เพิ่มถึง 2,000 คัน ซึ่งทำให้ปัจจุบันเมกาบางนาสามารถรองรับรถได้ครั้งละถึง 12,000 คัน, ส่วนต่อขยายโซนเมกา สมาร์ท คิดส์ แหล่งรวมสถาบันสอนเสริมทักษะกว่า 20 แห่ง, Mega Harborland สนามเด็กเล่นในร่มขนาดใหญ่, สวนสาธารณะเมกาพาร์ค, โรงเรียนประถมศึกษานานาชาติ ดิษยะศริน กรุงเทพ และคอนโดมิเนียม 2 โครงการ ซึ่งโครงการแรกได้แล้วเสร็จและทำการส่งมอบแค่ลูกค้าเรียบร้อยแล้ว และมีอีก 1 โครงการที่ก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ พร้อมจะส่งมอบให้กับผู้ซื้อโครงการได้ภายในปี 2566 นี้ และโครงการที่เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อไม่นานมานี้ คือ TOPGOLF (ท็อปกอล์ฟ) ซึ่งจะเป็นท็อปกอล์ฟ แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บนพื้นที่กว่า 29 ไร่ในโครงการเมกาซิตี้ โดยท็อปกอล์ฟจะเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์แห่งใหม่ของทุกคนไม่ใช่แค่เพียงนักกอล์ฟ เพราะที่นี่ได้รวบรวมเอาการเล่นเกม กีฬา มินิกอล์ฟ ร้านอาหาร ที่พร้อมเสิร์ฟอาหารไทยและนานาชาติ สปอร์ตบาร์ รวมถึงบาร์รูฟท็อป นำเสนอไลฟ์สไตล์แบบใหม่ให้กับลูกค้าทุกกลุ่ม โดยจะพร้อมเปิดให้บริการในไตรมาส 3 ปี 2565 เมกาบางนาเชื่อมั่นว่า ท็อปกอล์ฟจะเป็น Magnet สำคัญ ช่วยดึงดูดกลุ่มลูกค้าหลากหลายกลุ่มให้เข้ามาใช้บริการ และมอบประสบการณ์ความบันเทิงใหม่แบบที่ไม่สามารถหาได้ที่ไหนอย่างแน่นอน พลินี เปิดเผยเพิ่มเติมว่า “การพัฒนาเมกาบางนาและโครงการเมกาซิตี้ ยังคงเป็นเป้าหมายหลักในการดำเนินงานของบริษัท ซึ่งโครงการที่กำลังจะเกิดขึ้น คือ การขยายพื้นที่ของเซ็นทรัล @ เมกาบางนา เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 10,000 ตารางเมตร พร้อมกับปรับโฉมใหม่เพื่อให้สามารถจัดสรรโซนนิ่งสินค้าและบริการได้อย่างชัดเจนมากขึ้น รวมถึงการเปิดส่วนที่เป็น เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และเพิ่มสินค้าบริการที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าของเมกาบางนาเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ด้วยทำเลที่ตั้งที่อยู่ใกล้กับสนามบินสุวรรณภูมิ และนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดทางภาคตะวันออก ทำให้โครงการเมกาซิตี้เป็นที่สนใจของนักลงทุน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรใหม่ที่จะเข้ามาพัฒนาโรงแรมภายในโครงการ โดยจะเป็นโรงแรมสำหรับเจาะกลุ่มนักธุรกิจ บนพื้นที่รวมกว่า 13,000 ตารางเมตร”
ทุ่มพันล้าน อนุรักษ์พลังงานและพื้นที่สีเขียว
อีกหนึ่งหัวใจสำคัญในการบริหารศูนย์การค้าเมกาบางนา คือ ECO-FRIENDLY OPERATIONS โดยเมกาบางนาใช้งบลงทุนไปกว่า 1 พันล้านบาทในการพัฒนาโครงการอนุรักษ์พลังงานและเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ชุมชน เพื่อตอบโจทย์การอยู่ร่วมกันอย่างมีคุณภาพ ช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อมให้กับชุมชนและโลก อาทิ ลดการใช้สารเคมีในการทำความเย็นภายในอาคารทั้งหมด เพื่อลดความเสี่ยงด้านสุขภาพและเพิ่มความปลอดภัยให้กับเจ้าหน้าที่รวมทั้งส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ รวมเกือบ 17,000 แผงเต็มพื้นที่ 60,000 ตารางเมตร บนหลังคาที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ 13 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 8.3 ล้านกิโลกรัมต่อปี และลดการใช้พลังงานของระบบปรับอากาศได้มากกว่า 20% อีกทั้งยังมี การสร้างโรงบำบัดน้ำเสียมาตรฐานระดับสากลโดยใช้เทคโนโลยีเมมเบรนแทนการใช้สารเคมี โดยน้ำที่ผ่านไส้กรองสามารถนำมาใช้หมุนเวียนในกิจกรรมดูแลรักษาต้นไม้ และงานทำความสะอาดภายในศูนย์การค้า ซึ่งช่วยลดการใช้น้ำประปาได้มากกว่าปีละ 1 แสนหน่วย นอกจากนี้ เมกาบางนายังเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับชุมชนในส่วนต่อขยายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสวนสาธารณะเมกาพาร์ค ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 7 ไร่ (11,200 ตารางเมตร) เป็นสวนสาธารณะแห่งใหม่ของชาวบางนา, เมกา ฟู้ดวอล์ค ภายใต้บรรยากาศกึ่งเอาท์ดอร์พร้อมโขดหิน ลำธารและน้ำตก อีกทั้งการปรับภูมิทัศน์ด้านนอกของโซนเมกา ฟู้ดวอล์ค ในคอนเซ็ปต์ Scandinavian Playground ประกอบด้วยสนามเด็กเล่นขนาดใหญ่พร้อมสายน้ำ (Stream Valley) ที่ลูกค้าชอบมานั่งพักผ่อนหย่อนใจ และบ่อทราย (Sand Dune) ให้เด็กๆ มาเล่นฟรี ภายใต้สวนต้นไม้อันรื่นรมย์ที่หาได้ยากในเมือง เพื่อให้ครอบครัวได้ใช้เวลาร่วมกัน ซึ่งจริง ๆ ทางศูนย์การค้าสามารถนำพื้นที่ดังกล่าวไปพัฒนาในเชิงพาณิชย์ได้ แต่เราเลือกที่จะมอบพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจให้กับชุมชนและลูกค้าของเรา “ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ‘We Create A Better Everyday Life for the Many People’ ยังคงเป็นปณิธานสำคัญในการทำงานของพนักงานและผู้บริหารศูนย์การค้าเมกาบางนาเสมอมา เราต้องการสร้างสรรค์และพัฒนาพื้นที่สำหรับทุก ๆ คน และชุมชน เพื่อให้สามารถเติบโตไปพร้อม ๆ กับธุรกิจของเราได้ รวมทั้งการส่งเสริมการใช้ชีวิตแบบมีคุณภาพและยั่งยืนสำหรับคนไทยและประเทศไทย เมกาบางนาจะยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการของเรา เพื่อยกระดับตลาดรีเทล ของไทยให้แข่งขันกับเวทีโลกได้อย่างภาคภูมิ” พลินี กล่าวสรุป อ่านเพิ่มเติม: “เอสซีจี” จับมือ “คูโบต้า” ปั้น แพลตฟอร์มทางการเกษตรไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine