WHAUP ผนึก PTT - Sertis และ PEA ซื้อขายไฟฟ้าเสรีครั้งแรกในภาคอุตสาหกรรมไทย ผ่าน “RENEX” - Forbes Thailand

WHAUP ผนึก PTT - Sertis และ PEA ซื้อขายไฟฟ้าเสรีครั้งแรกในภาคอุตสาหกรรมไทย ผ่าน “RENEX”

FORBES THAILAND / ADMIN
28 Mar 2022 | 05:30 PM
READ 1696

ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) ผนึก ปตท.-เซอร์ทิส และ กฟภ. พัฒนาระบบ Peer-to-Peer Energy Trading สำหรับการซื้อขายไฟฟ้าครั้งแรกในประเทศไทยผ่านแพลตฟอร์ม Renewable Energy Exchange หรือ “RENEX” เพิ่มประสิทธิภาพความปลอดภัยในการทำธุรกรรมและอำนวยความสะดวกในการซื้อขายพลังงานให้กับผู้ผลิตไฟฟ้ารายย่อยกับผู้ใช้พลังงาน

WHAUP ผนึก PTT - Sertis

ดร.นิพนธ์ บุญเดชานันทน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) เปิดเผยว่าจากความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำด้านธุรกิจพลังงานหมุนเวียนและการพัฒนานวัตกรรมด้านพลังงานบริษัทได้เดินหน้าลงทุนในธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ควบคู่กับการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ

เช่น การพัฒนาระบบพลังงานอัจฉริยะ หรือ Smart Energy เพื่อเพิ่มเสถียรภาพและลดต้นทุนของพลังงานไฟฟ้าพร้อมกับการสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดในกลุ่มลูกค้าภายในนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ จึงนำมาสู่การพัฒนาระบบการซื้อขายไฟฟ้าเสรีแบบไม่มีตัวกลาง หรือที่เรียกว่า Peer-to-Peer Energy Trading

โดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ ERC Sandbox  Project หรือ โครงการทดลองด้านนวัตกรรมพลังงานของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน จากความร่วมมือระหว่างบริษัทฯ และพันธมิตรชั้นนำด้านพลังงานและด้านเทคโนโลยีอัจฉริยะ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถประมูลซื้อหรือขายไฟฟ้าจากระบบพลังงานแสงอาทิตย์ระหว่างกันเองได้อย่างเสรีผ่านระบบสายส่งของการไฟฟ้า

ล่าสุด “WHAUP” ได้ร่วมมือกับพันธมิตรจาก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) “PTT” และบริษัท เซอร์ทิส จำกัด “Sertis”  พัฒนาระบบ Peer-to-Peer Energy Trading Platform ภายใต้ชื่อว่า “RENEX” นี้ขึ้นมา เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ผลิตไฟฟ้าและผู้รับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนโดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยในการทำธุรกรรมและอำนวยความสะดวกการซื้อขายพลังงานระหว่างผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม โดยได้รับความร่วมมือจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค

ปัจจุบัน โครงการนี้มีผู้ประกอบการชั้นนำในนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอเข้าร่วมเป็นผู้ซื้อขายพลังงานจำนวนมากถึง 23 บริษัท ซึ่งอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมขั้นสุดท้ายในการให้บริการซื้อขายเชิงพาณิชย์ ที่คาดว่าจะเริ่มขึ้นภายในไตรมาส 2 ปีนี้

ด้าน นพดล ปิ่นสุภา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ระบบบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะ เป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในกลุ่มธุรกิจพลังงานแห่งอนาคตที่เป็นเป้าหมายสำคัญของ ปตท.

"เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการพลังงาน และยกระดับนวัตกรรมพลังงานยั่งยืนของประเทศ ตามกรอบวิสัยทัศน์ “Powering Life with Future Energy and Beyond ขับเคลื่อนทุกชีวิต ด้วยพลังแห่งอนาคตทั้งในส่วนที่มีการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ามาช่วยด้านการซื้อขายพลังงานตลอดจนนำเสนอนวัตกรรมด้านพลังงานเพื่อรองรับความต้องการใช้เชื้อเพลิงรูปแบบใหม่ที่สามารถรองรับการเติบโตของพลังงานหมุนเวียนในอนาคตตลอดจนยกระดับสินค้าบริการที่มีคุณภาพระดับสากลเพื่อส่งมอบให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมและผู้รับบริการได้อย่างครบวงจรควบคู่กับการขับเคลื่อนประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำ"

ความร่วมมือกับพันธมิตรในครั้งนี้ จึงเป็นกำลังสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเสริมสร้างระบบนิเวศด้านนวัตกรรมพลังงานของประเทศให้มีความพร้อมและสมบูรณ์ยิ่งขึ้นสู่การพัฒนาต่อยอดให้เกิดความยั่งยืนในการผลิตพลังงานในอนาคตต่อไป

ด้าน ธัชกรณ์ วชิรมน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท เซอร์ทิส จำกัด กล่าวว่า การได้เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาโครงการระบบบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะ หรือ Renewable Exchange Energy Platform (RENEX) ซึ่งมีเทคโนโลยีบล็อกเชน เป็นพื้นฐานของแพลตฟอร์มการซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เรามุ่งหวังที่จะสร้างประโยชน์ให้กับทุกฝ่ายที่ใช้แพลตฟอร์ม

โดยผู้ซื้อพลังงานและผู้ขายพลังงาน จะสามารถทำการซื้อ-ขายพลังงานแสงอาทิตย์ในราคาและปริมาณที่ต้องการบนแพลตฟอร์มที่มีความเสถียรปลอดภัย ผ่านระบบการจับคู่และประมูลราคาที่คิดค้นร่วมกันกับ ปตท. จนได้รับการรับรองด้วยอนุสิทธิบัตรจากกรมทรัพย์สินทางปัญญากระทรวงพาณิชย์ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานขององค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ

และในส่วนของเซอร์ทิสเอง ในฐานะที่เป็นบริษัทให้คําปรึกษาและพัฒนาด้านข้อมูล เทคโนโลยี รวมถึงเป็นผู้ดูแลระบบบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะนี้ เราก็พร้อมที่จะพัฒนาและเพิ่มศักยภาพแพลตฟอร์มด้วยการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ ร่วมกับเทคโนโลยีอื่นๆ มาผสานเข้ากับระบบ เพื่อเพิ่มความสามารถหรือฟีเจอร์ใหม่ๆ  ที่สามารถรองรับการใช้งานและความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างเหมาะสมในอนาคต"

โครงการนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นในการใช้ศักยภาพของเทคโนโลยี ประกอบกับความสามารถของบุคลากรในการพัฒนาแพลตฟอร์มที่อำนวยความสะดวกและสนับสนุนการดำเนินงานของอุตสาหกรรมการซื้อขายพลังงานสะอาด ผมเชื่อว่าความสำเร็จนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะส่งเสริมให้อุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้ารายย่อยได้เติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคงทั้งในประเทศและระดับภูมิภาคต่อไปในอนาคต

การซื้อขายไฟฟ้าอย่างเสรีด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนนี้ นับว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับภาคอุตสาหกรรม แต่วันนี้กำลังจะเกิดขึ้นได้จริงแล้วในประเทศไทย ที่นิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอเป็นแห่งแรก โดยจะมีผู้ประกอบการกลุ่มแรกที่เข้าร่วมเป็น Clean Energy Trader จำนวน 23 บริษัท และโครงการนี้เมื่อดำเนินการเป็นผลสำเร็จ จะเป็นการเลื่อนระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานของไทย  ช่วยลดต้นทุนด้านพลังงานสำหรับภาคอุตสาหกรรม อีกทั้งยังช่วยสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด ส่งเสริมนวัตกรรมด้านพลังงาน และรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

อ่านเพิ่มเติม: ดับบลิวเอชเอ ผนึกกำลัง สมิติเวช พัฒนา WHAbit ตอบโจทย์ดิจิทัลเฮลธ์แคร์

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine