บมจ.ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ โชว์รายได้แตะ 2.65 พันล้านบาทและกำไรสุทธิ 1.06 พันล้านบาทไตรมาส 1 ปี 2564 หลังเร่งผลักดันอัตราการใช้กำลังการผลิตไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพ และปริมาณขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 474 ล้านหน่วย มั่นใจรายได้ทั้งปีตามเป้าหมาย 1.3 หมื่นล้านบาท พร้อมรับแรงหนุนจากการติดตั้งและปรับปรุง Boiler เพิ่ม Utilization Rate เป็นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 98 ทั้งปี
ภัคพล เลี่ยวไพรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายบัญชีและการเงิน บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPP ผู้ประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ (RDF) และโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้งรายใหญ่ที่สุดของไทย เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2564 มีรายได้รวม 2.650 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 4.55 ที่มีรายได้รวม 2.535 พันล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิทำได้ 1.061 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.71 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 967 ล้านบาท ซึ่งบริษัทเร่งผลักดันอัตราการใช้กำลังการผลิตไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยมีปริมาณขายไฟฟ้ารวมในไตรมาส 1/64 ทั้งสิ้น 474 ล้านหน่วย แม้มีการหยุดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้า TG8 ในช่วงต้นปี 2564 สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปี 2564 คาดว่าจะดีขึ้นต่อเนื่อง หลังจากที่บริษัทได้ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าและติดตั้งหม้อต้มไอน้ำ (Boiler) แล้วเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิต (Utilization Rate) จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าร้อยละ 98 ตลอดทั้งปี ทำให้สามารถสร้างรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าได้เต็มประสิทธิภาพ ประกอบกับเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการการขายเชื้อเพลิงขยะ (RDF) ให้กับ บมจ.ทีพีไอ โพลีน หรือ TPIPL ซึ่งเป็นบริษัทแม่เพื่อใช้ผสมกับถ่านหิน โดยจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทฯ ราว 350-450 ล้านบาทต่อปี และโรงไฟฟ้าที่ขายไฟฟ้าให้ TPIPL มีประสิทธิภาพในการผลิตมากขึ้น พร้อมคาดการณ์ผลักดันรายได้ในปี 2564 ที่ระดับ 1.3 หมื่นล้านบาท ตามเป้าหมาย “บริษัทติดตั้งหม้อต้มน้ำเพิ่มเติมแล้วเสร็จในเดือน ก.พ. 2564 ทำให้สามารถเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นได้ถึงร้อยละ 98 ตลอดทั้งปี นอกจากนี้ บริษัทฯได้ชนะการประมูลโรงไฟฟ้าขยะชุมชน ในส่วนของ อบจ.สงขลา และเทศบาล อ.เมือง จ.นครราชสีมา จำนวน (7.92 MW + 9.9 MW) รวม 17.82 MW และอยู่ระหว่างการขอขายไฟฟ้าเพิ่มจากโรงไฟฟ้า TG7 จำนวน 40 เมกกะวัตต์ ให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ซึ่งรายได้และกำไรจากโครงการโรงไฟฟ้าเพิ่มเติมดังกล่าว จะส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทฯดีขึ้น” นอกจากนั้น บริษัทยังอยู่ระหว่างรอความคืบหน้าในเรื่องต่างๆ ของโครงการเมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต ทั้งเรื่องของการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน(ผังสี) ของพื้นที่ในอำเภอจะนะ การปรับแก้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (Power Development Plan) ให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรี เพื่อเอื้อต่อการลงทุนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้ หลังจากล่าสุดทางคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (Board of Investment) หรือบีโอไอฯ ได้มีมติให้อำเภอจะนะจังหวัดสงขลาเป็นหนึ่งในเมืองต้นแบบในโครงการ “สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” และได้ได้สิทธิประโยชน์สูงสุดตามกฎหมายกำหนดเทียบเท่ากับอีกเมืองต้นแบบอื่นๆ โดยทางบริษัทกำลังเตรียมเอกสารเพื่อยื่นขอรับสิทธิประโยชน์กับบีโอไอ คู่ขนานกับการทำรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment) ตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างเคร่งครัดทุกขั้นตอน อ่านเพิ่มเติม: SHARGE เล็งขึ้นแท่นผู้นำธุรกิจชาร์จรถ EV สู่เป้าหมาย 3 พันล้านใน 5 ปีไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine