เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC ปรับภาพลักษณ์สื่อสารความเป็นผู้นำเคมีภัณฑ์ครบวงจรตั้งแต่ปิโตรเคมีขั้นต้นจนถึงขั้นปลาย เพื่อความยั่งยืนในประเทศและภูมิภาคอาเซียน พร้อมร่วมกับพาร์ตเนอร์ชั้นนำระดับโลก ภายใต้แนวทาง ESG สร้างความแตกต่างและเพิ่มศักยภาพแข่งขัน
ธนวงษ์ อารีรัชชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC เปิดเผยว่า SCGC เดินหน้าสู่ “ธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน” (Chemicals Business for Sustainability) มุ่งดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับแนวคิด ESG (Environmental, Social and Governance) และตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) พร้อมปรับภาพลักษณ์แบรนด์หลังเดินหน้าศึกษาและเตรียมการเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ด้วยการเปลี่ยนโลโก้หรือตราสัญลักษณ์ใหม่ และเผยแพร่ภาพยนตร์โฆษณาชุด INNOVATION THAT’S REAL นวัตกรรมเคมีภัณฑ์ เพื่อทุกความเป็นไปได้ ผ่านช่องทางสื่อสารต่างๆ สำหรับตราสัญลักษณ์รูปแบบใหม่ของบริษัทฯ ออกแบบเป็นรูปกราฟิกใบไม้หกเหลี่ยม และตัวอักษร SCGC สะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืน บนรากฐานอุดมการณ์ของเอสซีจี ซึ่งยึดมั่นปฏิบัติมาอย่างยาวนาน พร้อมความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ร่วมสร้างเศรษฐกิจให้แข็งแกร่ง ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคให้ดียิ่งขึ้น ภายใต้แนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนและ ESG โดยตัวอักษร “SCGC” ย่อมาจากคำว่า SCG Chemicals ที่ออกแบบให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สื่อถึงความมั่นคง นอกจากนี้ ยังได้ใช้โทนสีเพื่อสื่อความหมาย ได้แก่ สีน้ำเงิน สื่อถึงนวัตกรรมและความรับผิดชอบ สีเขียว สื่อถึงการทำธุรกิจเพื่อความยั่งยืน สีแดง สะท้อนอุดมการณ์ของเอสซีจีที่ยึดมั่นปฏิบัติ และสีเหลือง แสดงตัวตนที่ไม่หยุดนิ่งพร้อมเดินหน้าเพื่อสร้างการเติบโต ธนวงษ์ กล่าวเสริมว่า ปัจจุบัน SCGC มุ่งสู่การผู้นำธุรกิจเคมีภัณฑ์ครบวงจรเพื่อความยั่งยืน โดยเริ่มดำเนินธุรกิจตั้งแต่ปี 2526 หรือร่วม 40 ปีที่ผ่านมา จึงมีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในธุรกิจเคมีภัณฑ์แบบครบวงจร ครอบคลุมการผลิตตั้งแต่ขั้นต้น (โอเลฟินส์) ถึงขั้นปลาย ได้แก่ เม็ดพลาสติกหลัก 3 ประเภทคือ พอลิเอทิลีน (PE) พอลิโพรพิลีน (PP) และพอลิไวนิลคลอไรด์ (PVC) รวมถึงผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปอื่น ๆ ภายใต้กระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานสากลและความปลอดภัยสูงสุด ขณะที่ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้รับการนำไปใช้ผลิตเป็นสินค้าที่เกี่ยวกับการอุปโภคบริโภค สินค้าในภาคอุตสาหกรรม และสินค้านวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตของทุกคน ซึ่งเป็นสินค้าที่อยู่ใกล้ตัวและช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต อาทิ บรรจุภัณฑ์อาหาร ชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์การแพทย์ ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น ท่อส่งน้ำ สายเคเบิลโทรคมนาคม เป็นต้น พร้อมเร่งขับเคลื่อนนวัตกรรมสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง หรือ HVA (High Value Added Products & Services) ด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมเคมีภัณฑ์เพื่อทุกความเป็นไปได้ INNOVATION THAT’S REAL เพื่อตอบโจทย์เทรนด์โลก และช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนให้ดียิ่งขึ้นได้จริง ควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน นอกจากนั้น ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา SCGC ได้ขยายการลงทุนทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนเพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยการเข้าซื้อหุ้น 30.57% ในบริษัท PT Chandra Asri Petrochemical Tbk (CAP) ซึ่งเป็นโรงงานปิโตรเคมีครบวงจรแห่งเดียวในประเทศอินโดนีเซียเมื่อปี 2554 ปัจจุบัน CAP มีสินทรัพย์รวมประมาณ 4.59 พันล้านเหรียญ รวมถึงการก่อสร้างโครงการปิโตรเคมีครบวงจรแห่งแรก Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP) ที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ SCGC ถือหุ้น 99.99% มีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 5.4 พันล้านเหรียญ โดยคาดการณ์เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในครึ่งปีแรกของปี 2566 ทั้งนี้ SCGC มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมเคมีภัณฑ์ โดยมีสินค้าและบริการมูลค่าเพิ่มสูงมุ่งเน้น 5 กลุ่มอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐาน บรรจุภัณฑ์ ยานยนต์ สุขภาพ และโซลูชันด้านพลังงาน ทั้งยังพัฒนานวัตกรรมด้านกระบวนการผลิตด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ตลอดห่วงโซ่คุณค่า โดยเฉพาะ SCGC GREEN POLYMER โซลูชันพลาสติกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์ทั้ง Reduce, Recyclable, Recycle, Renewable รวมถึงพัฒนาสินค้านวัตกรรมที่ตอบโจทย์คุณภาพชีวิตและสังคม พร้อมช่วยขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น นวัตกรรมป้องกันโควิด 19 แบบเคลื่อนที่ รถเข็นผู้ป่วยอัจฉริยะ หน้ากากสามมิติสำหรับชีวิตวิถีใหม่ วาโรการ์ด นวัตกรรมพลาสติกหุ้มสายเคเบิลป้องกันการลามไฟ นวัตกรรมเม็ดพลาสติกเพื่อผลิตท่อ PE112 เป็นต้น อ่านเพิ่มเติม: อัลฟา เอกซ์ รุกสินเชือรถหรู 2 แสนล้านไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine