SAPPE จับมือ GUNKUL ขยายตลาดกัญชากัญชงไทย - Forbes Thailand

SAPPE จับมือ GUNKUL ขยายตลาดกัญชากัญชงไทย

SAPPE ผนึกความร่วมมือ GUNKUL ลงนาม MOU จะซื้อจะขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับพืชกัญชากัญชง โดยเตรียมส่งออกวัตถุดิบและสารสกัดจากกัญชากัญชงที่ถูกเพาะปลูกด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงจากกันกุล ผสานจุดแข็ง SAPPE ด้านการตลาดและการขาย พร้อมขยายธุรกิจจากในประเทศสู่ตลาดต่างประเทศ

ปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE เปิดเผยว่า บริษัทได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับ บริษัท จี.เค.เฮมพ์ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บมจ.กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง (GUNKUL) ในการจะซื้อจะขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับพืชกัญชากัญชง เพื่อขยายตลาดสินค้ากัญชากัญชงของไทยทั้งในประเทศและต่างประเทศ เนื่องจากเล็งเห็นศักยภาพของการเติบโตและโอกาสทางธุรกิจใหม่ในอนาคตหลังจากภาครัฐมีนโยบายผลักดันเป็นพืชเศรษฐกิจ ดังนั้น บริษัทจึงได้มีการเพิ่มส่วนงานเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการต่อยอดจากความเชี่ยวชาญเดิมที่มีและเริ่มต้นความร่วมมือกับกันกุลเพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจให้ทั้งสองฝ่าย ซึ่งสอดคล้องนโยบายภาครัฐและกระทรวงสาธารณสุขที่ต้องการผลักดันกัญชากัญชงให้เป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ของประเทศไทย และสามารถนำประโยชน์จากพืชกัญชากัญชง มาใช้ในเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อสร้างประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ “ความร่วมมือครั้งนี้ระหว่าง SAPPE และ GUNKUL เป็นการเสริมความแข็งแกร่งและเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจ ด้วยจุดแข็งของเราคือการขายการตลาดและเครือข่ายพันธมิตร คู่ค้า-ลูกค้าที่ครอบคลุมในหลายประเทศ ทำให้ SAPPE มีศักยภาพและมองเห็นโอกาส โดยจะเริ่มตลาดในประเทศก่อนแล้วต่อยอดไปสู่ต่างประเทศต่อไป ซึ่งเราจะช่วยหาลูกค้าเพื่อกระจายวัตถุดิบและสารสกัดจากกัญชากัญชงคุณภาพที่ถูกเพาะปลูกด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง สร้างโอกาสและมาตรฐานที่ดีในอุตสาหกรรมกัญชากัญชงต่อไป” ปิยจิตกล่าวถึงจุดแข็งของเซ็ปเป้ในการเป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องดื่มนวัตกรรมชั้นนำของเมืองไทย มีความเชี่ยวชาญด้านการทำการตลาดและการขาย มีพันธมิตรและเครือข่ายที่แข็งแกร่ง คาดว่าจะสามารถนำวัตถุดิบและสารสกัดจากกัญชากัญชงที่ถูกเพาะปลูกด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงจาก GUNKUL มาจำหน่ายต่อได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น ขณะที่ในปัจจุบันบริษัทยังอยู่ในขั้นตอนศึกษาตลาด ซึ่งเบื้องต้นจะเริ่มต้นดำเนินการในส่วนของวัตถุดิบในการผลิตสินค้าต่างๆ ทั้งอุปโภคและบริโภค เพื่อมุ่งหวังนำเสนอทางเลือกในการเพิ่มมูลค่าสินค้าจากประโยชน์ของสารสกัดจากกัญชากัญชง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้า ภายใต้คุณภาพและมาตรฐานต่างๆ ที่กำหนดไว้ทั้งในไทยและในแต่ละประเทศเพื่อการส่งออกสู่ตลาดโลกในอนาคต ด้าน โศภชา ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL กล่าวว่า ประเทศไทยนับเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่สามารถปลดล็อกกัญชากัญชงได้สำเร็จ และสามารถผลักดันเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีมูลค่าสูง ทำให้ภาคธุรกิจทั้งรายใหญ่และรายเล็กต่างพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ผู้บริโภค สำหรับในปัจจุบันบริษัทมีโรงสกัดสาร CBD จำนวน 1 แห่งในจังหวัดปทุมธานี กำลังการผลิต 200 กิโลกรัมต่อวัน(ดอกแห้ง) เพื่อผลิตสินค้าในหมวดเครื่องสำอาง เครื่องดื่ม และยาสมุนไพร รวมถึงพื้นที่เพาะปลูกกัญชงมีจำนวน 15 ไร่ บนพื้นที่ประมาณ 50 ไร่ และโรงเรือนเพาะปลูกจำนวน 13 โรงเรือน ซึ่งมีแผนขยายเป็น 35 โรงเรือน บนพื้นที่ 60 ไร่ ภายในสิ้นปี 2565 ขณะเดียวกันรูปแบบการปลูกของบริษัทยังเป็นระบบโรงเรือนที่ได้มาตรฐานและเป็นพื้นที่เพาะปลูกของบริษัท โดยปลูกในรูปแบบ Hydroponics ใช้น้ำ RO (Reverse Osmosis) การปลูกในวัสดุปลูกดินเผา การเพาะในโรงเรือนแบบกึ่งปิด ทำให้มั่นใจได้ว่ากัญชากัญชงที่ GUNKUL เพาะปลูกมีคุณภาพและมาตรฐานสูงมากพอสำหรับนำไปทำสารสกัด รวมถึงเพื่อใช้ทางการแพทย์ ส่งผลให้บริษัทได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มลูกค้า “การร่วมมือระหว่าง SAPPE และ GUNKUL ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวที่สำคัญในการสร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน เพื่อช่วยตอบความต้องการใหม่ๆ ของผู้บริโภค โดยเฉพาะด้านการดูแลสุขภาพ ผ่านการคิดค้นพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ที่นำคุณประโยชน์ของกัญชากัญชงมาใช้อย่างเต็มที่ ซึ่งจะช่วยขยายธุรกิจไปสู่ตลาดที่มีโอกาสเติบโตในอนาคตได้เป็นอย่างดี  และตอบโจทย์ความต้องการอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ โดยสารสกัดจากกัญชากัญชงไปเป็นวัตถุดิบและสารตั้งต้น เพื่อใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ ถือเป็นการสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการในห่วงโซ่การผลิต ยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับอุตสาหกรรมอาหารไทยบนเวทีโลก นับเป็นโอกาสของ GUNKUL ในการเพิ่มช่องทางในการขยายธุรกิจและสร้างฐานรายได้เพิ่ม โดยบริษัทฯ จะเน้นสร้างการเติบโตไปพร้อมๆ กับกลุ่มพันธมิตรที่ได้ร่วมกันต่อยอดธุรกิจกัญชากัญชง” โศภชากล่าว อ่านเพิ่มเติม: กัลกุล ดํารงปิยวุฒิ์ กลับสู่ทำเนียบมหาเศรษฐีไทยอีกครั้ง

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine