Palmer Luckey และ หน้ากาก Oculus Rift ของเขาทำให้โลกเสมือนจริงกลายเป็นจริง - Forbes Thailand

Palmer Luckey และ หน้ากาก Oculus Rift ของเขาทำให้โลกเสมือนจริงกลายเป็นจริง

FORBES THAILAND / ADMIN
05 May 2015 | 03:28 PM
READ 5845
Palmer Luckey และ Oculus Rift ทำให้โลกเสมือนจริงกลายเป็นจริง เขาขายธุรกิจให้ Facebook ในราคา 2,000 ล้านเหรียญ ด้วยวัยเพียง 22 ปี และนี่แค่จุดเริ่มต้น ท้าทายความเสมือนจริง
 
ในสายตาของคนทั่วไป Oculus Rift ดูไม่ต่างจากอุปกรณ์เสริมสวมศีรษะ หรือ headset สำหรับการดูภาพจริงเสมือนที่เราเห็นในหนังแนววิทยาศาสตร์ เป็นแว่นที่มีสายรัดศีรษะ ดึงลงมาครอบตา ในตำแหน่งเหนือคิ้วราว 2-3 นิ้ว ภายในมีเลนส์จับภาพบนจอ OLED ที่มีความละเอียดสูง ภาพที่ปรากฏแบ่งเป็นสองภาพที่แตกต่างกันเล็กน้อย แต่ละภาพสำหรับตาแต่ละข้าง สร้างภาพสามมิติที่มีความลึกออกมา มีตัวเซ็นเซอร์จับความเคลื่อนไหวเพื่อให้รู้ว่าคุณกำลังดูทางไหน และมีกล้องอินฟาเรดด้านนอกที่ตั้งห่างออกไป 2-3 ฟุต เวลาที่คุณเคลื่อนไหวศีรษะ ระบบจะปรับภาพให้สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย
 
“Palmer แก้ปัญหาโดยไม่ได้สนใจที่จะเอาใจการตลาด เขาจึงมาถูกทาง” David Wiernicki ประธาน Force Dynamics บริษัทที่สร้างเครื่องจำลองความเคลื่อนไหว ที่เมือง Trumansburge ใน New York บอกว่า “เวลา ที่คุณใส่ Rift ทุกอย่างหายไปหมด ขณะที่อุปกรณ์อื่นๆ ทุกวันนี้ โดยเฉพาะรุ่นที่สวมศีรษะ เวลาใส่แล้วจะเห็นกรอบ ทำให้รู้สึกตลอดเวลามีขอบเขตสิ้นสุดของโลกแห่งเกม แต่กับ Rift โลกของเกมไม่มีขอบเขตสิ้นสุด เพราะคุณเข้าไปอยู่ในนั้นเลย”
ตัวอย่างเกม Alien: Isolation สร้างจากภาพยนตร์เรื่อง Alien

Luckey เตรียมผลิตตัวอย่างเกม Alien: Isolation สร้างจากภาพยนตร์เรื่อง Alien ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ซึ่งก็ไม่นานมาแล้วนี้เอง เขาเริ่มผลิต headset สำหรับภาพจริงเสมือนตั้งแต่อายุ 16 ปี พอถึง 19 เขาก่อตั้งบริษัทชื่อ Oculus VR และเมื่ออายุ 21 ก็ขายบริษัทนี้ให้ Facebook ในราคา 2,000 ล้านเหรียญ แม้ในความเป็นจริงบริษัทนี้ยังไม่มีรายได้ หรือไม่มีแม้ประทั่งสินค้าในเชิงพาณิชย์ มีแค่อุปกรณ์ต้นแบบ และตอนนี้ ในวัย 22 ปี Palmer Luckey กำลังทำในสิ่งที่นักเทคโนโลยีรุ่นก่อนหน้าเขาเพียรพยายามทำมานานแต่ล้มเหลว นั่นคือ นำโลกจริงเสมือนไปสู่คนวงกว้าง
 
ถ้าคุณยังข้องใจว่าจะทำได้หรือ แปลว่า คุณคงยังไม่เคยลอง Rift คนที่เคยมีประสบการณ์ลองแล้ว มีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นสาวก อย่างไรก็ดี Mark Zuckerberg พูดถึงอุปกรณ์นี้ว่า จะเป็นรูปแบบใหม่ในการสื่อสารที่ยิ่งใหญ่ในระดับเดียวกับโทรศัพท์หรือโทรทัศน์ “ในอนาคต เราเชื่อว่า ความจริงเสมือนที่สัมผัสได้และต่อขยายได้จริงแบบนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้คนนับพันๆ ล้าน” เขาเขียนใน Facebook ของตนว่า “ด้วยความรู้สึกของการดำรงอยู่ ณ ขณะนี้อย่างแท้จริง คุณสามารถแบ่งปันพื้นที่และประสบการณ์อันไร้ขอบเขตกับผู้คนในชีวิตของคุณได้”
 

แนว คิดของการที่คอมพิวเตอร์สามารถสร้างภาพที่ทำให้รู้สึกเหมือนสัมผัสได้ เกิดขึ้นตั้งแต่ทศวรรษ 1960 เครื่องต้นแบบ VR ในยุคแรกๆ เทอะทะและราคาแพงมหาศาล ทำขึ้นให้รัฐบาลและใช้ในงานด้านทหารเป็นหลัก บ่อยครั้งที่ VR ล้มเหลวเพราะปัญหาทางเทคนิค ในปี 1996 Nintendo เปิดตัวเครื่องเล่นวิดีโอเกมราคา 180 เหรียญ ชื่อ Virtual Boy แต่สัญญาที่จะทำภาพกราฟฟิกสามมิติ ไม่เป็นจริง ภาพจาก headset ที่ออกมาเป็นสีแดงสีเดียว ความละเอียดต่ำ และกระจกที่สั่นไหวทำให้ปวดคอ เวียนหัวและคลื่นไส้ Nintendo ขายได้ไม่ถึง 800,000 เครื่อง
 
ในเดือนเมษายน 2012 หนุ่มวัย 19 Palmer Luckey ผลิตเครื่องต้นแบบ VR รุ่นที่ 6 สำเร็จ และตั้งชื่อว่า Rift ซึ่งหมายถึงช่องว่างที่เขาหวังว่าอุปกรณ์ชิ้นนี้จะช่วยเป็นสะพานเชื่อม ระหว่างโลกแห่งความจริงกับโลกเสมือนจริง การตั้งมูลค่าอุปกรณ์ต้นแบบของหนุ่มวัย 21 ปี สูงถึง 300 ล้านเหรียญ หลายคนรู้สึกว่า สติแตก แต่ภายในเวลาไม่ถึงปี การลงทุนนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าฉลาดล้ำเมื่อ Zuckerberg เจ้าของ Facebook ติดต่อ Luckey ในแบบที่เขาถนัด คือทางอีเมล และหนุ่มมหัศจรรย์รุ่นใหญ่และรุ่นเล็กก็ต่อติดกันทันทีด้วยความชื่นชอบใน เทคโนโลยีและนวนิยายแนววิทยาศาสตร์เหมือนกัน ในเดือนมกราคม 2014 Zuck มาที่สำนักงาน Oculus เพื่อทดลองใช้ Rift
 
“เราเริ่มต้นคุยกับ Zuckerberg เพราะอยากอวดของของเรา” Luckey เล่าว่า “เขาเป็นแฟนตัวยงของความจริงเสมือน และผมคิดว่าเขาเชื่อในวิสัยทัศน์เดียวกับเรา นั่นคือ ทุกคนในโลกจะได้สัมผัส VR” Zuck บอกในทางกลับกัน บอก uckey และ Iribe ว่า "สิ่ง ที่พวกเขากำลังทำอาจเป็นการค้นพบระบบคอมพิวเตอร์ยุคใหม่ เป็นวิธีการใหม่เอี่ยมในการสื่อสารของผู้คน ไม่ใช่แค่เส้นทางใหม่ในการเข้าถึง Facebook"
 
ภายในเวลาไม่ถึง 2 เดือน ทั้งสองทีมเจรจาธุรกิจกันสำเร็จ มูลค่าเบ็ดเสร็จ 2,000 ล้านเหรียญ โดยจ่ายเงินสดก่อนจำนวน 400 ล้านเหรียญ ที่เหลือเป็นหุ้นของ Facebook และเป็นเงินพิเศษอีก 300 ล้านเหรียญ
 
Facebook ยังทำให้ Luckey ร่ำรวยขึ้นมา FORBES ประเมินว่า Luckey ถือหุ้น Oculus VR ราว 25% มูลค่าราว 500 ล้านเหรียญที่เพิ่มขึ้นมาแล้วเกือบจะ 600 ล้านเหรียญตามมูลค่าหุ้น Facebook ที่ทะยานขึ้น แต่ตลอดเวลานั้น Luckey ก็ยังคงง่วนอยู่กับการพัฒนาเครื่องต้นแบบของเขา
 
สำหรับเทคโนโลยีเสมือนจริงนี้พัฒนาการและเกิดขึ้นแล้วในหลายแวดวง เริ่มต้นที่อุตสาหกรรมเกม จากอุปกรณ์จากค่าย Microsoft, Sony วงการบันเทิงที่จะมีการสร้างภาพยนตร์เรื่องแรกที่ถ่ายทำด้วยวีดีโอ 360 องศา นอกจากนี้ยังมีพัฒนาการอีกหลายอย่างเกิดขึ้น อาทิ ใช้ Rift สร้างรูปแบบการท่องเที่ยวแบบเสมือนจริง

การพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถนำไปใช้งานได้อย่างหลากหลายจะทำให้ Rift จะเจอกับการแข่งขันอย่างหนักในการทำให้ฮาร์ดแวร์ของตนกลายเป็นมาตรฐาน โดยมีหลากแห่ง อาทิ บริษัทเยอรมัน Carl Zeiss AG, Google ที่สนใจในความจริงเสมือนแบบ augmented reality โดยใส่ภาพคอมพิวเตอร์เข้าไปในโลกแห่งความจริง ผ่านผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่า Google Glass และฤดูร้อนปีที่แล้วก็เปิดตัวโครงการใหม่มีชื่อว่า Google Cardboard เป็น การออกแบบชุดประกอบในการดูภาพ VR ในราคาถูก เป็นโอเพนซอร์ส ให้ผู้ใช้นำไปประกอบเอง รวมไปถึง Apple ก็ประกาศรับสมัครวิศวกรที่จะมาสร้างสรรค์แอพประสิทธิภาพสูง ทั้งหมดเหล่านี้ทำให้ Luckey ยักไหล่ บอกว่า “ผมไม่คิดว่าตอนนี้มีผลิตภัณฑ์ตัวไหนที่เทียบเคียงได้
 
ความ รู้สึกจากประสบการณ์นี้คงคล้ายกับที่คนรู้สึกตอนจ้องดูโทรทัศน์เป็นครั้งแรก เมื่อเก้าทศวรรษก่อนตอนที่สื่อใหม่นี้ถือกำเนิดขึ้น คำถามตอนนี้คือ Palmer Luckey จะเป็นภาคใหม่ของ David Sarnoff นักบริหารที่ทำให้ทีวีได้รับความนิยม และในวัย 22 ปี ดูเหมือน Luckey จะมีความสุขกับอีกทางเลือกหนึ่ง “แทน ที่จะได้ยินว่า ‘นั่นไง เด็กมหัศจรรย์ที่ริเริ่มบริษัทที่ยิ่งใหญ่’ ผมอยากเห็นบริษัทที่ทำธุรกิจความจริงเสมือนนับร้อยที่ขาย headset ได้เป็นพันๆ ล้านเครื่องมากกว่า”

เรียบเรียงใหม่จาก Palmer Luckey โดย เรื่อง: DAVID M. EWALT เรียบเรียง: เสาวรภย์ ปัญญาชีวิน

อ่าน ฉบับเต็ม “Palmer Luckey และ หน้ากาก Oculus Rift ของเขาทำให้โลกเสมือนจริงกลายเป็นจริง” จาก Forbes Thailand ฉบับ MARCH 2015