OR บริษัทแฟลกชิพของกลุ่ม ปตท. ด้านการดำเนินธุรกิจน้ำมันและธุรกิจค้าปลีกเตรียมนับถอยหลังเข้าตลาดหุ้นเดือนกุมภาพันธ์หลังไอพีโอกระจายหุ้นให้รายย่อยร่วมเป็นเจ้าของ พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์สร้างความแข็งแกร่งและขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องในระดับโลก
จิราพร ขาวสวัสดิ์ รักษาการแทนประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ โออาร์ กล่าวว่า บริษัทพร้อมเปิดโอกาสให้คนไทยได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ไทยที่จะก้าวไปเป็นแบรนด์ระดับโลก และสร้างคุณค่าให้กับสังคมชุมชนผ่านการดำเนินธุรกิจน้ำมัน ธุรกิจค้าปลีกสินค้าและบริการอื่นๆ และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ด้วยการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายใต้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “OR” ซึ่งคาดการณ์เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2564 โดยบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 30.0 ของกำไรสุทธิหลังหักสำรองทุกประเภทตามที่กฎหมายและบริษัทฯ กำหนดไว้ในแต่ละปี “เราเชื่อมั่นว่าช่วงเวลานี้ถือเป็นจังหวะเวลาอันเหมาะสมที่ โออาร์ พร้อมเดินหน้าสู่การเติบโตครั้งใหม่ ด้วยการเสนอขายหุ้น IPO และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จากจุดแข็ง รากฐานทางธุรกิจและกลยุทธ์การเติบโตอันแข็งแกร่งของ โออาร์ เพื่อก้าวสู่ความเป็นแบรนด์ไทยชั้นนำระดับโลกอย่างแท้จริง กับแนวคิดธุรกิจ “Retailing Beyond Fuel” วันนี้ เราพร้อมเปิดโอกาสให้ทุกคนได้มาร่วมเป็นเจ้าของและต่อยอดสู่การเติบโตที่ไกลกว่าเดิม” จิราพรกล่าวถึงการเสนอขายหุ้นไอพีโอ ด้วยการจัดสรรแบบวิธี Small Lot First เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้รับการกระจายหุ้นอย่างทั่วถึง ขณะที่บริษัทมีความเชื่อมั่นในจุดแข็งและปัจจัยสนับสนุนการเติบโตอย่างต่อเนื่องในฐานะบริษัท Flagship ของ กลุ่ม ปตท. ด้านการดำเนินธุรกิจน้ำมันและธุรกิจค้าปลีก ซึ่งมีสถานีบริการน้ำมัน “PTT Station” ที่ได้รับการยอมรับในด้านความน่าเชื่อถือ คุณภาพ และความสะดวกครบครันในที่เดียว ความเป็นผู้นำในการจัดจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศไทย ด้วยส่วนแบ่งการตลาดประมาณร้อยละ 38.9 (เมื่อพิจารณาจากปริมาณการขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงของสถานีบริการในปี 2562 โดย Wood Mackenzie) นอกจากนั้น บริษัทยังมีเครือข่ายระบบจัดเก็บและการกระจายผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทั่วประเทศไทย การเดินหน้าพัฒนาธุรกิจค้าปลีกสินค้าและบริการอื่น ๆ (Non-Oil) ซึ่งส่งเสริมธุรกิจค้าปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงได้เป็นอย่างดี และความมีศักยภาพในการเติบโตสูงทั้งในและต่างประเทศ โดยมีรากฐานทางธุรกิจที่มั่นคงในประเทศกัมพูชา ฟิลิปปินส์ และ สปป.ลาว รวมทั้งยังมีความสามารถในการขยายธุรกิจสู่ประเทศอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนมีคณะผู้บริหารที่มากประสบการณ์ และให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ราชสุดา รังสิยากูล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลยุทธ์องค์กร นวัตกรรมและความยั่งยืน โออาร์ กล่าวว่า “เราขับเคลื่อนธุรกิจด้วยกลยุทธ์ที่มุ่งสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพที่น่าเชื่อถือ พัฒนาสินค้าและบริการที่ตรงใจผู้บริโภค ควบคู่กับการสร้างคุณค่าและการมีส่วนร่วมให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม” สำหรับกลยุทธ์การดำเนินงานขยายธุรกิจและเสริมสร้างความแข็้งแกร่งในระยะยาว ประกอบด้วย การรักษาความเป็นผู้นำทั้งตลาดค้าปลีกและตลาดพาณิชย์ในประเทศไทย การมุ่งส่งเสริมการเติบโตของกลุ่มธุรกิจค้าปลีกสินค้าและบริการอื่นๆ (Non-Oil) สร้างฐานรายได้และเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไร รวมถึงการต่อยอดความสำเร็จ ความชำนาญ เพื่อการขยายตัวสู่ระดับภูมิภาค และระดับโลก ขณะเดียวกันบริษัทยังมุ่งเน้นกลยุทธ์เสริมสร้างศักยภาพ ขยายโอกาสการเติบโตด้วยเทคโนโลยี และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Big Data Analytics) ตลอดจนการลงทุนครอบคลุมตลอดห่วงโซ่อุปทาน บริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยี พร้อมมุ่งสร้างคุณค่าและการมีส่วนร่วมต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม ทั้งประเทศชาติ สังคมชุมชน ผู้ถือหุ้น ลูกค้า คู่ค้า และพนักงานอย่างสมดุล พิจินต์ อภิวันทนาพร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารการเงิน โออาร์ กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า "การระดมทุนในครั้งนี้เพื่อนำไปใช้ในการขยายเครือข่ายสถานีบริการน้ำมัน การขยายธุรกิจสำหรับตลาดพาณิชย์ การลงทุนในคลังเก็บผลิตภัณฑ์และศูนย์กระจายสินค้า การขยายเครือข่ายร้านค้าปลีก การลงทุนในธุรกิจต่างประเทศ รวมทั้งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ" สำหรับผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของบริษัทมีรายได้จากการขายและการให้บริการจำนวน 5.43 แสนล้านบาท 5.92 แสนล้านบาท 5.77 แสนล้านบาท และ 3.19 แสนล้านบาท สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2560 วันที่ 31 ธันวาคม 2561 และวันที่ 31 ธันวาคม 2562 และสำหรับงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2563 ตามลำดับ โดยมีกำไรสุทธิจำนวน 9.77 พันล้านบาท 7.85 พันล้านบาท 1.09 หมื่นล้านบาท และ 5.87 พันล้านบาท สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2560 วันที่ 31 ธันวาคม 2561 และวันที่ 31 ธันวาคม 2562 และสำหรับงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2563 ตามลำดับ (ข้อมูลสำหรับปี 2560 และ 2561 อ้างอิงจากข้อมูลทางการเงินรวมเสมือน ในขณะที่ข้อมูลสำหรับปี 2562 และสำหรับงวดเก้าเดือนปี 2563 อ้างอิงจากงบการเงินรวมตรวจสอบตามกฎหมาย) ทั้งนี้ ในปัจจุบันบริษัทดำเนินธุรกิจน้ำมัน และธุรกิจค้าปลีกสินค้าและบริการอื่นๆ (Non-Oil) อย่างผสมผสานกันทั้งในประเทศและต่างประเทศ ประกอบด้วย การจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในตลาดค้าปลีกและตลาดพาณิชย์ ธุรกิจร้านกาแฟ ร้านอาหารและเครื่องดื่มอื่น ๆ ร้านสะดวกซื้อ และการบริหารจัดการพื้นที่เช่า เช่น สถานีบริการน้ำมัน PTT Station สาขาจำนวน 1,968 แห่งในประเทศไทย และ 329 แห่งในต่างประเทศ ร้านกาแฟ Cafe Amazon จำนวน 3,168 ร้านในประเทศไทย และ 272 ร้านในต่างประเทศ ศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto จำนวน 56 แห่งในประเทศไทย และ 4 แห่งในต่างประเทศ ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ในสถานีบริการ และ Jiffy จำนวน 1,960 ร้านในประเทศไทย และ 86 ร้านในต่างประเทศ เป็นต้น (ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2563) อ่านเพิ่มเติม: Yves Rocher Thailand โตสวนกระแส พร้อมประกาศรีแบรนด์ครั้งใหญ่ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine