Nexter ส่ง ‘คิวช่าง’ เติมเต็ม SCG HOME - Forbes Thailand

Nexter ส่ง ‘คิวช่าง’ เติมเต็ม SCG HOME

Nexter Incubator หน่วยลงทุนธุรกิจสตาร์ทอัพ กลุ่มธุรกิจ SCG HOME เครื่องยนต์สำคัญที่ช่วยเร่งสร้างการเติบโตอีก 100 ปีข้างหน้าภายใต้บิสิเนส โมเดลใหม่ ประเดิมเปิดตัว “คิวช่าง” แพลตฟอร์มศูนย์รวมบริการเกี่ยวกับบ้านครบวงจร คาดสิ้นปีรายได้ 250 ล้านบาท พร้อมลุยอีก 10-20 โปรเจ็กต์ต่อปี เสริมแกร่งธุรกิจ SCG HOME ในอนาคต

ศานิตย์ ภู่บุบผา ผู้อำนวยการ เน็กซเตอร์ อินคิวเบเตอร์ (Nexter Incubator) บริษัท เอสซีจี เอ็กซพีเรียนซ์ จำกัด ผู้บริหารธุรกิจ SCG HOME กล่าวว่า เน็กซเตอร์ อินคิวเบเตอร์ เป็นหน่วยธุรกิจที่ลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพของกลุ่มธุรกิจ SCG HOME ซึ่งชื่อมีความหมายถึงการเติบโตของกลุ่มเอสซีจีในอีก 100 ปีข้างหน้า ที่จะสร้างรูปแบบธุรกิจใหม่ที่จะผลักดันการเติบโตในอนาคต ซึ่งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ได้มีการลงทุนในโปรเจ็กต์สตาร์ทอัพปีละ 10-20 โครงการ ส่วนใหญ่เป็นการพัฒนาขึ้นจากพนักงานภายในบริษัทเพื่อสร้างธุรกิจใหม่ที่เชื่อมโยงและต่อยอดจากธุรกิจเดิม อย่างไรก็ตาม การพัฒนาธุรกิจสตาร์ทอัพไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยเวลาและการพัฒนาต่อยอดเป็นธุรกิจได้จริง ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้พัฒนาเป็น 4 ธุรกิจด้วยกัน ได้แก่ SCGHOME.COM Deisgn Connext, Q-CHANG (คิวช่าง) แอปพลิเคชัน My Home ซึ่งการพัฒนาธุรกิจสตาร์ทอัพของเน็กซเตอร์ฯ เพื่อตอบโจทย์บริการเกี่ยวกับบ้านครบวงจร ภายใต้แนวคิด “คิด สร้าง ซ่อม อยู่” “ตั้งแต่ปี 2017 ในช่วงที่เกิดดิจิทัล ดิสรัปชั่น ธุรกิจเอสซีจี ก่อตั้งมาครบ 100 ปี คิดกันว่าทำอย่างไรจะสร้างการเติบโตในอีก 100 ปีข้างหน้า เราจึงก่อตั้ง เน็กซเตอร์ อินคิวเบเตอร์ ขึ้นมาลงทุนพัฒนาธุรกิจใหม่ๆ ที่จะสร้างการเติบโตให้กับเอสซีจีในอีก 100 ปีถัดไป โดยเลือกลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพ เพราะใช้เวลาเร็วขึ้นเพื่อบ่มเพาะธุรกิจที่จะเข้ามาเติมเต็มให้กับ SCG HOME” ศานิตย์กล่าว

เปิด 5 รูปแบบการปั้นธุรกิจใหม่

ศานิตย์ เล่าว่า กระบวนการพัฒนารูปแบบธุรกิจใหม่ของของเน็กซเตอร์ฯ จะมี 5 แนวทางหลัก ได้แก่ 1. การคัดสรรพนักงานของ เอสซีจี ที่มีความสามารถ และความมุ่งมั่น (Passion) พร้อมจะเปลี่ยนตัวเองเป็นเถ้าแก่น้อย 2. การนำกระบวนการในการพัฒนาธุรกิจในรูปแบบ Agile & Lean Start-up Process บ่มเพาะธุรกิจสตาร์ทอัพจากไอเดีย จนก่อร่างเป็นธุรกิจที่พร้อมออกสู่ตลาด โดยหลังจากที่บ่มเพาะจนเป็นธุรกิจที่พร้อมออกสู่ตลาดแล้ว จะมีรูปแบบการดำเนินธุรกิจต่อ 2 ลักษณะ ได้แก่ Spin-in นำธุรกิจดังกล่าวเข้ามาอยู่ใน Core Business ของ SCG Home Business และ Spin-off คือ ทางพนักงานของ เอสซีจี จะออกไปดำเนินธุรกิจต่อด้วยตนเองในฐานะเจ้าของธุรกิจ โดยสามารถระดมเงินลงทุนจากแหล่งอื่นๆ ได้เพิ่มเติม สำหรับแนวทางที่ 3. ปรับระบบบริหารจัดการให้เป็น Sand Box เพื่อให้สตาร์ทอัพได้ทดลองทำธุรกิจในรูปแบบใหม่ๆ ด้วยกระบวนการทำงานที่สั้นลงและคล่องตัว ซึ่งทำให้ธุรกิจสตาร์ทอัพของ Nexter Incubator สามารถพัฒนาธุรกิจเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว และมีต้นทุนในการดำเนินงานต่ำ 4. การทำ Open Innovation กับพาร์ตเนอร์ภายนอกบริษัทฯ โดยเน้นความร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ที่สามารถมาช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับ Nexter Incubator มากยิ่งขึ้น 5. นำ Internal Start-up ที่ Nexter Incubator บ่มเพาะ เข้าไปเสริมความแข็งแกร่งให้กับ Ecosystem ของ SCG HOME ซึ่งเป็นร้านค้าปลีกในรูปแบบ Retail OMNI-Channel ที่จำหน่ายสินค้าเรื่องการทำบ้านและตกแต่งบ้าน ให้มีบริการเรื่องการทำบ้านที่ครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบ, สร้าง, ปรับปรุง, ต่อเติม, ซ่อมแซม รวมถึงบริการหลังอยู่อาศัย เพื่อเติมเต็มให้ SCG HOME เป็น Lifetime Home Partner ให้กับลูกค้า

พร้อมเปิดตัวคิวช่างคาดรายได้ 250 ล้าน

สำหรับธุรกิจแรกที่พร้อมเปิดตัวและคาดว่าจะ Spin-off แยกเป็นบริษัทดำเนินธุรกิจด้วยตัวเอง คือ คิวช่าง (Q-CHANG) ศูนย์รวมบริการเกี่ยวกับบ้านครบวงจร บริหารงานโดย ศรัณย์วิศว์ ภักดีนอก หนึ่งในทีมผู้ก่อตั้ง ซึ่งเขาเล่าว่า คิวช่าง เป็นแพลตฟอร์มให้บริการงานช่างทุกประเภท โดยนำช่าง และลูกค้ามาเจอกัน เกิดจากปัญหาที่ว่าลูกบ้านหาช่างยาก ขณะที่ช่างมีงานไม่ต่อเนื่อง เมื่อนำมาเจอกันจึงสามารถตอบโจทย์ความต้องการของทุกฝ่ายได้อย่างลงตัว โดยช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา คิวช่างสร้างมูลค่าทางธุรกิจได้กว่า 290 ล้านบาท ขณะที่ปีนี้ คาดว่าคิวช่างจะมีรายได้รวม 250 ล้านบาท เติบโต 3 เท่าตัวจากปี 2564 ที่มีรายได้ 87 ล้านบาท และคาดว่าจะมีการให้บริการกว่า 1 แสนครั้ง จากปีที่ผ่านมามียอดให้บริการเกือบ 70,000 ครั้ง ปัจจุบันมีทีมช่างกว่า 1,350 คน ครอบคลุม 77 จังหวัด และสร้างรายได้ให้กับช่างไปแล้วไม่ต่ำกว่า 130 ล้านบาท และช่วยเพิ่มยอดขายให้กับ SCG HOME มากขึ้น “คิวช่าง ถือเป็นตัวอย่างของธุรกิจที่สามารถเติบโต และมีดีเอ็นเอของเอสซีจีที่ช่วยเติมเต็มธุรกิจให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น ตามวิสัยทัศน์ขององค์กรที่ว่า Passion for Better” ศานิตย์กล่าว

ส่องเทรนด์ธุรกิจเกี่ยวกับบ้านมาแรง

ศานิตย์ กล่าวว่า สำหรับเทรนด์ธุรกิจเกี่ยวกับบ้าน หลังสถานการณ์โควิด 19 กลุ่มรีโนเวทมีการเติบโตสูง เฉลี่ยปีละ 10% มีมูลค่าธุรกิจปีละ 20,000 – 30,000 ล้านบาท โดยมี 4 เทรนด์ที่สนับสนุนการเติบโต ได้แก่ 1. พฤติกรรม New Normal ทำให้การรีโนเวทบ้านมีความต้องการเพิ่มขึ้น 2.การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและเทรนด์เรื่องสุขภาพ 3. การใส่ใจสิ่งแวดล้อม และการประหยัดพลังงาน 4. Smart Home Smart Living การใช้เทคโนโลยีมาทำให้ชีวิตดีขึ้น และอีกเทรนด์ที่คาดว่าจะมาแรงเช่นเดียวกัน คือเทรนด์สัตว์เลี้ยง การพัฒนาโซลูชันที่จะตอบโจทย์คนรักสัตว์เลี้ยง เป็นต้น อ่านเพิ่มเติม: กลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เผยผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2565
ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine