ทายาทรุ่น 2 “ชลิตวงศ์พัฒนา” รวมพลังปั้นแม็กซ์เครน แมชชีนเนอรี่ - Forbes Thailand

ทายาทรุ่น 2 “ชลิตวงศ์พัฒนา” รวมพลังปั้นแม็กซ์เครน แมชชีนเนอรี่

“ความสำเร็จของลูกค้า คือ ความภาคภูมิใจของเรา” นี่ไม่ใช่แค่สโลแกนของบริษัท แต่เป็นเป้าหมายสูงสุดในการทำธุรกิจที่ทีมผู้บริหารไฟแรงแห่งบริษัท แม็กซ์เครน แมชชีนเนอรี่ ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายรถเครนซานี่ (Sany) รถโฟล์คลิฟท์หางชา(Hangcha) รวมถึงเครนติดรถบรรทุกแขนตรง Sany Palfinger และรถกระเช้า Palfinger แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย และยังเป็นตัวแทนจำหน่ายหัวลาก และ มินิบัส ฟูโซ่ (Fuso) และ เมอร์เซเดส-เบนซ์ (Mercedez Benz) ตลอดจนศูนย์ให้บริการอีก 4 แห่งทั่วประเทศ มุ่งมั่น และไม่เคยหยุดพักที่จะส่งต่อคุณค่านี้ให้กับลูกค้ามากว่า 10 ปี ภายใต้การนำของแม่ทัพใหญ่คุณชาวี ชลิตวงศ์พัฒนา พี่ชายคนโตของครอบครัวที่กลับมารับหน้าที่เป็นหัวเรือใหญ่ พลิกธุรกิจครอบครัวจากรับซ่อมบำรุงเครนสู่ผู้นำเข้ารถเครนยอดขายอันดับ 1 ของเมืองไทย พร้อมแตกกิ่งก้านธุรกิจให้ครอบคลุมสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ครบวงจรมากยิ่งขึ้น และยังเสริมทัพความแข็งแรงในการบริหารงานทั้งบริการหลังการขาย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญของธุรกิจด้วยการมอบหมายให้คุณปริตร ชลิตวงศ์พัฒนา น้องชายคนกลางเข้ามาดูแล ส่วนด้านการตลาดและการสร้างแบรนด์ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของน้องสาวคนเล็ก คุณฝนทิพย์ ชลิตวงศ์พัฒนา เข้ามาร่วมขับเคลื่อนอย่างแข็งขัน

เปิดศักราชใหม่ แม็กซ์เครน แมชชีนเนอรี่

ย้อนกลับไปเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว “เดอะ เครนพาร์ท”ธุรกิจตั้งต้นของครอบครัว “ชลิตวงศ์พัฒนา” ยังไม่เป็นที่รู้จักในตลาดมากนัก เพราะเน้นงานหลังบ้าน รับซ่อมเครนให้กับกลุ่มธุรกิจรายใหญ่ จวบจนคุณชาวี วิศวกรหนุ่มไฟแรงที่ไปคว้าดีกรีด้านบริหารจากออสเตรเลีย ตัดสินใจกลับมาเมืองไทย เพื่อสานต่อธุรกิจครอบครัว เนื่องจากคุณพ่อล้มป่วย เขาได้สร้างจุดเปลี่ยนสำคัญให้กับธุรกิจ และเริ่มต้นบันทึกหน้าใหม่ด้วยการมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิม “ด้วยความที่อยู่ในธุรกิจเครนอยู่แล้ว ทำให้เราเห็นความต้องการของลูกค้าและภาพรวมของตลาดในเวลานั้นเป็นอย่างดีว่าซัพพลายไม่เพียงพอกับดีมานด์ของตลาด เพราะเครนมือสองที่นิยมในตลาดมาจากญี่ปุ่น ซึ่งเป็นแหล่งผลิตเดียวที่กระจายสินค้าไปทั่วเอเชีย จากช่องว่างตรงนั้นทำให้ผมเล็งเห็นโอกาสว่าน่าจะนำเข้าเครนจากแหล่งผลิตอื่นเพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้า โดยที่ราคายังอยู่ ในเกณฑ์ที่ลูกค้าเห็นว่าสมเหตุสมผล ผมจึงพุ่งเป้าไปที่เครนมือหนึ่งที่ผลิตจากจีน ซึ่งคุณภาพดี ราคาถูกกว่าเครนมือสองจากญี่ปุ่น 10 - 20%” ในเวลานั้น แม้จะรู้ดีว่าต้องเจอแรงต่อต้านจากทัศนคติของลูกค้าที่ยังกังวลกับคุณภาพของสินค้าจีน ตลอดจนการให้บริการหลังการขาย และความพร้อมในเรื่องอะไหล่หากเครนเกิดปัญหา แต่คุณชาวีไม่หวั่น หลังจากวิเคราะห์ดูแล้วว่า ด้วยสถานะของบริษัทในเวลานั้นยังเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ในตลาด บวกกับลูกค้ายังขาดความเชื่อมั่นกับบริษัท แทนที่จะทุ่มหมดหน้าตัก คุณชาวีเลือกนำเข้าสินค้าแบบเมดทูออเดอร์ เพื่อรอจังหวะที่เหมาะสม แต่ไม่ทิ้งโอกาสที่เข้ามา พอเห็นว่าตลาดเครนญี่ปุ่นมือสองราคาตก เพราะดีมานด์ในตลาดเริ่มลดลง คุณชาวีตัดสินใจนำเข้าเครนญี่ปุ่นมือสองในช่วงขาลงมาทำตลาดในไทย ปรากฏว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ใช้เวลาเพียง 2 - 3 ปี ก็กลายเป็นผู้นำเข้าแถวหน้าในตลาด “จากช่วงแรกที่ครอบครัวเราเน้นซ่อมบำรุงเครนทำให้มีฐานลูกค้ารายใหญ่อยู่ในมือประมาณหนึ่ง แต่การเปิดตลาดผู้นำเข้าเครนมือสองทำให้เรามีโอกาสเจาะตลาดกลุ่มลูกค้ารายย่อย แสดงฝีมือและความรับผิดชอบให้ลูกค้าเห็นจนเชื่อมั่นในบริษัทเรา พอตอนหลังผมได้อินไซต์ใหม่จากลูกค้าอีกว่า เครนที่ลูกค้ามองหาไม่ใช่เครน 4 ล้อ ( Rough Terrain Cranes ) ที่มีข้อจำกัดในการวิ่งในระยะไกลอีกต่อไปแต่ลูกค้ามองหา Truck Crane ที่สามารถขับเคลื่อนได้โดยตัวเองในระยะไกลด้วยความเร็วสูง เราจึงติดต่อเพื่อนำเข้า Truck Crane มือหนึ่งจากจีนมาทำตลาดอีกครั้ง โดยเลือกแบรนด์ซานี่ เพราะนอกจากจะเป็นผู้ผลิตที่เป็นเอกชนรายเดียวในจีนทำให้มีความคล่องตัวในการบริหารงานที่เป็นอิสระ ผมยังประทับใจคุณภาพสินค้า และ ความใส่ใจในการให้บริการหลังการขาย ซึ่งตรงกับความตั้งใจของเราในเวลานั้นที่ไม่ได้ต้องการขายสินค้าแล้วจบ แต่เรามองถึงการดูแลในระยะยาวเพื่อมอบความอุ่นใจให้ลูกค้า” ความมุ่งมั่นและใส่ใจในการให้บริการอย่างเต็มร้อย ทำให้พันธกิจครั้งใหม่ของคุณชาวีได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้าเช่นเคย และยังเกิดกระแสการบอกต่อแบบปากต่อปากที่เป็นพลังของการตลาดชั้นดี ช่วยการันตีคุณภาพสินค้า และการให้บริการ ทำให้ลูกค้ามั่นใจว่าหากเกิดปัญหาทางบริษัทมีทีมช่างและวิศวกรมากประสบการณ์มากว่า 20 ปี พร้อมให้บริการทั่วประเทศไทย ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังมีบริการให้คำปรึกษาตลอดอายุการใช้งาน พร้อมรับประกันสินค้าอีก 2 ปี

มองหาตลาดใหม่ เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ

จากความสำเร็จในการนำพาแบรนด์น้องใหม่ทะยานสู่แบรนด์แถวหน้า จนสามารถครองส่วนแบ่งในตลาดเครนส่วนใหญ่ และเป็นผู้นำเข้ารถเครนอันดับ 1 ในประเทศไทย 5 ปีซ้อน ทำให้ผู้บริหารวิสัยทัศน์ไกลเริ่มมองถึงอนาคต หันมาขยายฐานธุรกิจ ด้วยการนำเข้าเครนติดรถบรรทุกพอลฟิงเกอร์ที่มียอดขายอันดับ 1 ของโลก ก่อนจะต่อยอดมาสู่การนำเข้ารถโฟล์คลิฟท์หางชา ซึ่งมียอดการส่งออกเป็นอันดับ 1 ของจีน และเป็นตัวแทนจำหน่ายหัวลาก และรถบรรทุก ฟูโซ่ (Fuso) และ เมอร์เซเดส-เบนซ์ พร้อมจัดตั้งศูนย์ซ่อมบำรุงแบบครบวงจร ปัจจุบันมีอยู่ 4 สาขา ทั่วประเทศ ได้แก่ สำนักงานใหญ่ที่บางนาตราด กม.19, และสาขาย่อยที่ขอนแก่น, พิษณุโลก, สุราษฏร์ธานี และกำลังดำเนินการเปิดสาขาเพิ่มอีก 7 สาขาในปีนี้ “ในส่วนของเครน เราวางตัวว่าเป็นผู้นำเข้า จัดจำหน่ายและซ่อมบำรุง ส่วนโฟล์คลิฟต์เรามีทั้งจัดจำหน่าย ให้เช่า และซ่อมบำรุงแบบครบวงจร เหตุผลที่เราไม่มีบริการเช่าเครน เพราะลูกค้าส่วนหนึ่งของเราอยู่ในธุรกิจนี้ เราไม่ต้องการเป็นคู่แข่งของลูกค้า เช่นเดียวกับที่เราไม่ได้มองว่า แบรนด์อื่นเป็นคู่แข่ง เพราะเรามองว่ายิ่งมีผู้เล่นในตลาดนี้มากหลายรายยิ่งเป็นประโยชน์กับลูกค้า ทำให้เราได้พัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา ที่ผ่านมาเราพยายามแข่งกับตัวเอง ทำให้งานของเราในวันพรุ่งนี้ดีกว่าวันนี้เสมอ พยายามนำเสนอสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น เพื่อรักษาตลาดที่เราเป็นเบอร์ 1 รวมทั้งตลาดที่กำลังเติบโต เพราะเป้าหมายใหญ่ของเรา ไม่ใช่แค่เป็นตัวแทนจัดจำหน่าย แต่เราต้องการเป็นผู้ให้บริการชั้นนำเป็น One-Stop Service ที่พร้อมดูแลลูกค้าระยะยาว เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จของลูกค้า” นอกจากจะเดินหน้าสร้างการเติบโตทางธุรกิจ คุณชาวี ยังให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนธุรกิจ อย่างรับผิดชอบต่อสังคม ด้วยการจัดกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) อย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นส่วนเล็กๆ ในการช่วยทำให้สังคมน่าอยู่ขึ้น ในแง่การสร้างความแข็งแกร่งภายในองค์กร แม้โครงสร้างการบริหารจะเป็นสไตล์ครอบครัวมีคุณพ่อเป็นที่ปรึกษา และสมาชิกในครอบครัวที่มีความชำนาญเฉพาะด้านมาช่วยขับเคลื่อนองค์กร แต่คุณชาวีไม่ปิดกั้นที่จะต้อนรับทีมงานมืออาชีพมาร่วมบริหารองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน “เรามีทีมงานมืออาชีพที่มากด้วยประสบการณ์ เข้ามาเสริมในธุรกิจที่เรากำลังเริ่มต้น และยังมีทีมงานชาวต่างชาติที่ทางคู่ค้าส่งมามาประจำการที่บริษัท เพื่อช่วยเป็นตัวกลางในการประสานงานกรณีเร่งด่วน ตลอดจนเข้าไปมีส่วนร่วมในการรับฟังความต้องการของลูกค้า เพื่อนำข้อมูลกลับไปช่วยต่อยอดพัฒนาสินค้าเพื่อให้ตรงกับความต้องการลูกค้าไทยมากที่สุด เพราะหัวใจหลักในการบริหารงานของเรา ไม่ได้เน้นฮาร์ดเซลอย่างเดียว แต่เราต้องเข้าใจความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าแล้วมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ เราลงทุนเม็ดเงินสูงถึง 70 ล้านบาท เพื่อบริหารสต็อกอะไหล่ จนมีความพร้อมในการบริการอะไหล่ถึง 98% หมายความว่าถ้าลูกค้าต้องการอะไหล่ 100 ชิ้น เรามี 98 ชิ้นที่พร้อมส่งให้ได้ทันที เรายอมลงทุนเพื่อลูกค้า เพราะเราเข้าใจและไม่ต้องการให้ลูกค้าสูญเสียเวลาและรายได้ เพราะเครื่องจักรทำงานไม่ได้” อย่างไรก็ตาม คุณชาวียังทิ้งท้ายอย่างน่าสนใจ ถึงการบริหารธุรกิจในยุคที่ทุกธุรกิจกำลังถูกดิสรัปชั่น อย่างหนักว่า สำหรับแม็กซ์เครน แมชชีนเนอรี่ เรากลับมองว่าดิจิตอลดิสรัปชั่นเป็นโอกาสของธุรกิจเรา เทคโนโลยีจะเข้ามาเอื้อประโยชน์ในการอำนวยความสะดวก บริหารจัดการทำให้เราใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้น สื่อสารกับลูกค้าได้รวดเร็วมากขึ้น ตั้งแต่การติดต่อประสานงาน การปฏิบัติงานจริง จากอดีตจะแจ้งซ่อมต้องมีกระบวนการมากมาย ปัจจุบันสามารถแจ้งซ่อมผ่านไลน์ ลูกค้าสามารถแทร็กการทำงานของช่างได้ และในปัจจุบันเรากำลังนำระบบ ERP ที่เป็นระบบบริหารการจัดการงานในองค์กร รวมถึงอนาคตเรายังพร้อมที่จะนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามายกระดับการให้บริการให้ดียิ่งขึ้นอย่างแน่นอน   ข้อมูลเพิ่มเติม www.maxcrane.co.th www.facebook.com/maxcranethailand และเบอร์โทรติดต่อ 027405888

TAGGED ON