ILM กางแผน INDEX NEXTPERIENCE 2022 เล็งยอดขาย 8.2 พันล้าน - Forbes Thailand

ILM กางแผน INDEX NEXTPERIENCE 2022 เล็งยอดขาย 8.2 พันล้าน

อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ชูกลยุทธ์ Collaboration Marketing ผนึกกำลังพันธมิตรธุรกิจตอบโจทย์ความต้องการตลาดสินค้าเพื่อสุขภาพปั้นแบรนด์ DREAMIA ดันยอดขายกลุ่มที่นอนและเครื่องนอนเติบโต 20% พร้อมขยายสาขาต่อเนื่องสู่เป้าหมายรายได้ 8.2 พันล้านบาท

กฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ILM เปิดเผยว่า บริษัทเล็งเห็นความสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจท่ามกลางความท้าทายจากปัจจัยการระบาดของโรคโควิด-19 และตอบรับพฤติกรรมของผู้บริโภค ด้วยการกำหนดทิศทางการดำเนินงานธุรกิจและกลยุทธ์ผลักดันการเติบโต 10 เปอร์เซ็นต์ สู่ยอดขายรวม 8.2 พันล้านบาท ภายใต้วิสัยทัศน์ “INDEX NEXTPERIENCE 2022” สำหรับในปีนี้บริษัทได้มุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้าในทุกมิติตอบรับกับอินไซต์ของผู้บริโภคยุค Next Normal ทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ ด้วยการนำเทคโนโลยี AI และ Big Data มารวบรวม วิเคราะห์ตัวตน ความชอบ พฤติกรรมการช้อปของลูกค้า เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการในรูปแบบ Personalization ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น รวมถึงการสร้างสรรค์ New Store Format เพื่อประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดีของลูกค้า ทั้งการจัดดิสเพลย์สินค้าแต่ละแคทติกอรี่ให้แตกต่างและโดดเด่น รวมถึงผสานความร่วมมือจากร้านค้าผู้เช่าพื้นที่ด้วยสินค้าและบริการที่ครอบคลุมทุกความต้องการ พร้อมเพิ่มกิจกรรมส่งเสริมการขายที่สร้างการมีส่วนร่วมของลูกค้าภายในสาขาต่างๆ มากขึ้น “การเปิดตัวหมอนไฮบริดแบรนด์ DREAMIA ในครั้งนี้ ได้ร่วมกับ วู้ดดี้-วุฒิธร ซึ่งนำประสบการณ์จากการใช้งานจริงมาร่วมกันเฟ้นหาผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ตอบโจทย์กับผู้ที่มีปัญหาจากการนอน อาทิ ภาวะออฟฟิศซินโดรม ปัญหาระบบภายในร่างกายไม่สมดุล โดยหมอน DREAMIA นำเสนอความแตกต่างด้วยการนำ 7 นวัตกรรมจากประเทศสหรัฐอเมริกามาใช้ในกระบวนการผลิตเพื่อสร้างมิติใหม่แห่งการนอนแบบ All in one โดยได้เปิดตัวแบรนด์ DREAMIA หมอน รุ่น Recovery” กฤษชนก กล่าวถึงการนำกลยุทธ์ Collaboration Marketing ผนึกความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อมอบประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้า โดยในไตรมาสแรกนี้ได้ประเดิมความร่วมมือในรูปแบบ Collaboration กับ วุฒิธร มิลินทจินดา ในการร่วมสร้างแบรนด์ DREAMIA” หมอนไฮบริด เพื่อรองรับตลาดสินค้าเพื่อสุขภาพ ซึ่งปัจจุบันมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเป็นการเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสินค้าที่นอนและเครื่องนอนของอินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ให้หลากหลาย พร้อมคาดการณ์ยอดขายกลุ่มสินค้าที่นอนและเครื่องนอนสามารถเติบโตถึงร้อยละ 20 ขณะที่บริษัทเล็งเห็นโอกาสและปัจจัยสนับสนุนจากการที่ลูกค้าให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น ซึ่งในปีที่ผ่านมาบริษัทมีการเติบโตในกลุ่มสินค้าดังกล่าวถึงร้อยละ 16 เนื่องจากการนอนหลับถือเป็นพื้นฐานสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพโดยรวม ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจากการสำรวจ Super Poll เกี่ยวกับการนอนหลับของคนไทยทั่วประเทศ 1,109 ตัวอย่าง (ณ กันยายน 2564) พบว่าร้อยละ 30-40 ของประชากรไทยหรือราว 19 ล้านคนต้องเผชิญปัญหานอนไม่หลับ โดยระบุสาเหตุจากที่รองนอน ฟูก และหมอน ทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการนอนถึงร้อยละ 96.5 “แม้ว่าตลาดกลุ่มเครื่องนอนและหมอนเพื่อสุขภาพจะมีจำนวนผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายที่หลากหลาย แต่เรามองว่ายังมีโอกาสและช่องว่างในการทำตลาด โดยเฉพาะผู้บริโภคกลุ่ม Premium Segment และกลุ่ม Health Conscious ที่มีกำลังซื้อสูง ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ ซึ่งคาดว่าจะยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเราได้วางแผนงานด้านการตลาดเพื่อสร้างการรับรู้ของแบรนด์ DREAMIA นอกจากการได้ร่วม Collaboration กับคุณวู้ดดี้เพื่อทำการตลาดร่วมกันแล้ว เรายังได้ทุ่มงบประมาณกว่า 20 ล้านบาท เพื่อสื่อสารให้ผู้บริโภคได้เห็นถึงความสำคัญของการเลือกใช้หมอนที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพการนอนผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ซึ่งคาดว่า แบรนด์ DREAMIA จะช่วยผลักดันยอดขายในกลุ่มสินค้าเครื่องนอนให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง” นอกจากนั้น ทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปีนี้ยังวางแผนงานขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการเฟอร์นิเจอร์ ของใช้ ของตกแต่งบ้านตามสัญญาณการฟื้นตัวของอสังหาริมทรัพย์และมาตรการต่างๆของภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจรวมถึงดีมานด์ตลาดที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ได้แก่ สาขาลาดกระบังในรูปแบบ Mixed-use ที่มีส่วนพื้นที่ขายสินค้าเฟอร์นิเจอร์ ของใช้ ของตกแต่งบ้าน และพื้นที่เช่า ซึ่งมีกำหนดเปิดให้บริการในไตรมาส 4 ของปีนี้ ขณะเดียวกันบริษัทยังเตรียมขยายสาขาในต่างประเทศในรูปแบบการให้สิทธิแฟรนไชส์กับพันธมิตรทางธุรกิจในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียน เช่น บรูไน เวียดนาม และอินโดนีเซีย  ราว 5 สาขา ซึ่งอยู่ในระหว่างการหารือความร่วมมือและมองโอกาสในการทำตลาดร่วมกัน โดยในปัจจุบันบริษัทได้เปิด Korean Supermarket ภายใต้ชื่อ SEOUL U MART รวม 2 สาขาตั้งแต่ปลายปี 2564 “จากแผน INDEX NEXTPERIENCE คาดหวังให้เราเติบโตอย่างยั่งยืน เป็นเบอร์ 1 ธุรกิจ Home Furnishing รวมเรื่องบ้านและการตกแต่งบ้าน ครบ จบในที่เดียว จะช่วยสร้างการเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ข้างหน้าได้อย่างแน่นอน” ทั้งนี้ บริษัทได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาธุรกิจเพื่อความยั่งยืนด้วยแนวคิด Sustainable Living for Future Lifestyle ซึ่งได้ดำเนินโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น ร่วมสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ ด้วยการใช้พลังงานทดแทนจากการติดตั้ง Solar Rooftop ของสาขาต่างๆ โดยมีแผนติดตั้งครบทุกสาขาภายในปี 2570 การนำเทคโนโลยี Customize เฟอร์นิเจอร์ตอบโจทย์ดีไซน์เฉพาะบุคคล และผลิตสินค้าด้วยเทคโนโลยีคำนวณการใช้วัสดุไม้เพื่อการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่า การเพิ่มสัดส่วนดีไซน์สินค้าและเลือกใช้บรรจุภัณฑ์จากวัสดุธรรมชาติหรือวัสดุรีไซเคิล การเปิดบริการสถานีประจุไฟฟ้ารองรับยานยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น อ่านเพิ่มเติม: “เอคอมเมิร์ซ กรุ๊ป” รุกธุรกิจทั่วอาเซียนด้วยซอฟต์แวร์ as-a-service เต็มรูปแบบในปี 2565

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine