‘เอกา โกลบอล’ เดินหน้าเต็มกำลังหลังความต้องการบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารทั่วโลกพุ่ง - Forbes Thailand

‘เอกา โกลบอล’ เดินหน้าเต็มกำลังหลังความต้องการบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารทั่วโลกพุ่ง

PR / PR NEWS
23 Apr 2020 | 05:30 PM
READ 2929

‘เอกา โกลบอล’ เดินหน้าเต็มกำลังการผลิต 2,700 ล้านชิ้น เชื่อมั่นจะเพียงพอต่อความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร พร้อมเผยเจาะตลาดผู้ประกอบกลุ่มเอสเอ็มอี

ชัยวัฒน์ นันทิรุจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด (EKA GLOBAL) ผู้นำตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร (Longevity Packaging) เปิดเผยว่า ภายใต้สภาวะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มีความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารทั่วโลกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคมที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ โดยยอดขายของบริษัทฯ ได้เติบโตขึ้นมากกว่าเท่าตัวเช่นเดียวกัน จากสถานการณ์โควิด-19 เห็นได้ชัดว่าพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปโดยหันมาใส่ใจและเน้นเรื่องความปลอดภัยของอาหารมากขึ้น มีการงดเว้นอาหารสดที่ไม่ผ่านความร้อน เช่น สลัดต่างๆ อาหารญี่ปุ่น หรือแม้แต่อาหารที่ปรุงสุกมาแล้ว ก็ต้องอุ่นซ้ำ เพื่อป้องกันการปนเปื้อนเชื้อไวรัสโควิด-19 “การปรับตัวของผู้บริโภค ทำให้ผู้บริโภครับรู้และเข้าใจอาหารที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าจะผ่านพ้นสถานการณ์ระบาดโควิด-19 ไปแล้ว เชื่อว่าผู้บริโภคยังคงคำนึงถึงความปลอดภัยของอาหารและอาหารที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อ จะอยู่ในกระแสความต้องการต่อไปจนกลายเป็นเทรนด์ของผู้บริโภคในอนาคต” ชัยวัฒน์ กล่าวและเสริมว่า “ในปีนี้ บริษัทฯ ยังตั้งเป้าหมายยอดขายรวมจะเติบโต 100% จากยอดขายปีที่ผ่านมาปัจจุบัน บริษัทฯ ขยายการดำเนินธุรกิจไปในตลาดสำคัญทั่วภูมิภาค อาทิ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย จีน อินเดีย ฟิลิปปินส์ และสหรัฐอเมริกา ฯลฯ โดยมีสัดส่วนยอดขายส่งออกที่ 95% และยอดขายในประเทศที่ 5%” ทั้งนี้ภายหลังการเข้าซื้อกิจการของ พริ้นท์แพค เอเชีย ในปี 2019 ทำให้ปัจจุบันบริษัทเอกาฯ ขึ้นเป็นผู้นำในการผลิตบรรจุภัณฑ์นวัตกรรมยืดอายุอาหารรายใหญ่ที่สุดของโลกโดยมีโรงงานและสำนักงานในประเทศจีนและอินเดียรวมกำลังการผลิตปัจจุบันสูงเกือบ 2,700 ล้านชิ้นต่อปี

เจาะตลาดผู้ประกอบเอสเอ็มอีไทย

ชัยวัฒน์ นันทิรุจ กล่าวเสริมว่า บริษัทฯ เชื่อว่าผู้บริโภคในประเทศเริ่มมีความคุ้นชินกับบรรจุภัณฑ์ของ เอกา โกลบอล มากยิ่งขึ้น ปีนี้บริษัทฯ มีแผนจะเจาะตลาดผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี ในประเทศให้มากขึ้น เพื่อช่วยผลักดันและส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ก้าวสู่การทำธุรกิจที่สามารถแข่งขันได้บนเวทีระดับโลก เป็นการเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีได้ขยายตลาดต่างประเทศ และการที่ผลิตภัณฑ์มีอายุสินค้าที่ยาวนานขึ้น และยังช่วยลดต้นทุนการผลิตอีกด้วย นับว่าตอบโจทย์และช่วยปิดจุดอ่อนของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีได้อย่างดี “แม้สัดส่วนรายได้จากการเพิ่มฐานลูกค้าเอสเอ็มอีจะไม่มาก แต่การได้ช่วยผู้ประกอบการอาหารได้มีโอกาสทางธุรกิจ สร้างโซลูชั่น และเพิ่มมูลค่าสินค้าที่สูงขึ้น ถือเป็นภาระกิจที่เอกา โกลบอล ให้ความสำคัญ ด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างฐานให้เอสเอ็มอีไทยให้แข็งแกร่ง” ชัยวัฒน์ กล่าวว่าปิดท้าย