เสียวหมี่ ประกาศภาพรวมความสำเร็จและกลยุทธ์ “Smartphone x AIoT” ที่ผลักดันให้เสียวหมี่ขึ้นเป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนเบอร์ 2 ของโลกในไตรมาสที่ 2 ประจำปี 2564 และรั้งตำแหน่งแบรนด์สมาร์ทโฟนลำดับที่ 1 ของประเทศไทยเป็นครั้งแรก
Jonathan Kang ผู้จัดการ เสียวหมี่ ประเทศไทย กล่าวว่า “ปีนี้ถือเป็นปีแห่งการเดินเกมรุกของเสียวหมี่ในหลายด้าน นับตั้งแต่การปรับอัตลักษณ์ของแบรนด์ผ่านโลโก้ใหม่ ที่ผสานปรัชญาธรรมชาติเข้ากับแนวคิดการออกแบบ ภายใต้แนวคิด “Alive” เพื่อช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้เสียวหมี่ในตลาดพรีเมียมพร้อมยกระดับการรับรู้ของแบรนด์ การประกาศรุกตลาดธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle) อย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งจัดตั้งบริษัทในเครือเพื่อใช้ดำเนินธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าด้วยเงินทุน 1 หมื่นล้านหยวน” ในปี 2564 เสียวหมี่ได้รับการจัดอันดับจากหลากหลายองค์กร เสียวหมี่ก้าวขึ้นสู่อันดับ 338 บน Fortune Global 500 เป็นองค์กรที่เติบโตเร็วที่สุดในปี 2564 ในหมวดหมู่อินเทอร์เน็ตและการค้าปลีก และก้าวขึ้นสู่อันดับ 70 ของแบรนด์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกในปี 2564 เป็นปีที่ 3 ติดต่อกันที่ได้รับการจัดอันดับโดย BrandZ ตามรายงานของ Kantar ด้วยมูลค่าแบรนด์ที่เพิ่มขึ้น 50% และอยู่ลำดับที่ 222 ในรายงานจัดอันดับบริษัทประจำปีของ Forbes Global 2000 ในด้านชื่อเสียงทางนวัตกรรม เสียวหมี่ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในบริษัทที่ชาญฉลาดที่สุด 50 อันดับแรกของประเทศจีน โดย MIT Technology Review ตอกย้ำความเป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำที่มีโมเดลธุรกิจส่งเสริมการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่อยู่เสมอ นอกจากความสำเร็จด้านภาพลักษณ์ของแบรนด์แล้ว ในช่วงต้นปีแรกที่ผ่านมาเสียวหมี่ยังประสบความสำเร็จอย่างมากในแง่ผลประกอบการทางธุรกิจ ในไตรมาสที่ 2 ประจำปี 2564 ธุรกิจสมาร์ทโฟนของเสียวหมี่เติบโตขึ้นอย่างมาก โดยจะเห็นได้จากรายได้และยอดการส่งมอบที่เหนือความคาดหมาย ซึ่งรายได้รวมจากการขายสมาร์ทโฟนอยู่ที่ 5.91 หลื่นล้านหยวน เติบโตที่ร้อยละ 86.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากรายงานของ Canalys พบว่า จำนวนการส่งมอบสมาร์ทโฟนทั่วโลกของเสียวหมี่ได้ขยับขึ้นไปอยู่อันดับที่ 2 โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ร้อยละ 16.7 นอกจากนี้ เสียวหมี่เดินขยายตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง รุกตลาดกว่า 100 ประเทศทั่วโลก และก้าวขึ้นเป็นแบรนด์สมาร์ทโฟน 5 อันดับแรกใน 65 ประเทศ และเป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนอันดับที่ 1 ใน 22 ประเทศ รวมถึงประเทศไทยอีกด้วย เสียวหมี่ยังให้ความสำคัญกับการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้เสียวหมี่มี Xiaomi Store ทั้งสิ้นมากกว่า 1,000 สาขานอกประเทศจีนและอินเดีย เสียวหมี่ให้ความสำคัญกับการค้นคว้าพัฒนานวัตกรรมต่างๆ เพื่อผู้บริโภคอยู่เสมอ และได้รับสิทธิบัตรมากมายกว่า 19,000 ฉบับจากหลากหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมด้านสมาร์ทโฟน, ผลิตภัณฑ์ AIoT, ฮาร์ดแวร์และเทคโนโลยีด้านอื่นๆ รวมถึงด้านการผลิตและออกแบบผลิตภัณฑ์อีกด้วย เสียวหมี่จึงเป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนที่ประสบความสำเร็จมาก มียอดผู้ใช้งานต่อเดือนมากถึง 453.8 ล้านคน และมีสมาร์ทโฟนในทุกระดับราคาที่มาพร้อมกับจุดเด่นที่แตกต่างกัน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการอันหลากหลายของผู้บริโภค สมาร์ทโฟนของเสียวหมี่แบ่งเป็น สมาร์ทโฟนตระกูล Mi Mix หรือ Xiaomi Mix สมาร์ทโฟนตระกูล Mi หรือ Xiaomi สมาร์ทโฟนตระกูล Mi T หรือ Xiaomi T สมาร์ทโฟนตระกูล Redmi Note และสมาร์ทโฟนตระกูล Redmi เอนทรีสมาร์ทโฟนประสิทธิภาพสูง ในปีนี้ เสียวหมี่ประสบความสำเร็จอย่างมากในการรุกตลาดสมาร์ทโฟนระดับไฮเอ็น โดยในครึ่งแรกของปี 2564 การส่งมอบสมาร์ทโฟนทั่วโลกที่มีราคาจำหน่ายมากกว่า 3,000 หยวนขึ้นไปในประเทศจีน และ 300 ยูโรหรือเทียบเท่าในตลาดต่างประเทศ ได้มีการส่งมอบไปแล้วกว่า 12 ล้านเครื่อง ซึ่งเกินกว่ายอด 10 ล้านเครื่องในปี 2563 ทั้งปีที่ได้เคยส่งมอบไป ความสำเร็จของผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนทั้งหมดนี้ เป็นผลของการไม่หยุดยั้งเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมและการลงทุนในด้าน 5G อย่างต่อเนื่อง เสียวหมี่ดำเนินธุรกิจด้วยกลยุทธ์หลัก “Smartphone x AIoT” คือดำเนินธุรกิจสมาร์ทโฟนควบคู่ไปกับการเชื่อมต่อผลิตภัณฑ์ AIoT โดยข้อมูล ณ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา เสียวหมี่มีจำนวนผลิตภัณฑ์ AIoT (ไม่รวมสมาร์ทโฟนและแล็ปท็อป) กว่า 374.5 ล้านเครื่องที่เชื่อมต่อบนแพลตฟอร์ม IoT ของเสียวหมี่ผ่าน Mi Smart Home App ซึ่งเป็นเหมือนศูนย์กลางการควบคุมและดูข้อมูลที่จำเป็นของทุกผลิตภัณฑ์ในอีโคซิสเต็ม เสียวหมี่ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์มากกว่า 320 บริษัทในการผลิตภัณฑ์ต่างๆ จึงไม่น่าแปลกใจที่ผลิตภัณฑ์ของเสียวหมี่ครองใจผู้บริโภคมากมากมาย ไม่ว่าจะเป็น สมาร์ทแบนด์, สมาร์ทวอช, สมาร์ททีวี, หุ่นยนต์ดูดฝุ่น, เครื่องฟอกอากาศ, หูฟังไร้สาย, สกูตเตอร์ไฟฟ้า, กล้องวงจรปิด และอีกมากมาย “เสียวหมี่มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมที่เยี่ยมยอด ในราคาที่จับต้องได้เพื่อผู้บริโภคได้ใช้ชีวิตผ่านความสะดวกสบายที่เทคโนโลยีมอบให้ เสียวหมี่เติบโตอย่างไม่หยุดยั้งในตลาดสมาร์ทโฟนพรีเมียมและมุ่งมั่นโฟกัสในเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้งาน เสียวหมี่ยึดมั่นในกลยุทธ์ ‘Smartphone x AIoT’ และผลักดันการทำงานร่วมกันในสองธุรกิจนี้ในหลากหลายด้าน เสียวหมี่เป็นเกียรติและภาคภูมิใจที่ได้ก้าวขึ้นเป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนอันดับ 1 ของประเทศไทยและจะส่งมอบความสะดวกสบายให้ให้ผู้บริโภคชาวไทยได้เพลิดเพลินกับการใช้ชีวิตผ่านผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ของเสียวหมี่ที่กำลังจะเปิดตัวในเร็วๆ นี้” Jonathan Kangกล่าวปิดท้าย อ่านเพิ่มเติม: Flash Express ประกาศร่วมทุน AIF Group Laos เปิดตัว “แฟลช ลาว”ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine