เมื่อ Boris เขียนถึง Winston - Forbes Thailand

เมื่อ Boris เขียนถึง Winston

ทรงผมอันยุ่งเหยิงแลดูเป็นคนหน้าสงสัย บวกกับฝีปากกล้าชนิดไม่กลัวสวนกระแสสังคม ชายนิวยอรค์เกอร์ผู้นี้ กำลังลุ้นที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศคนต่อไป ใช่แล้ว...เรากำลังพูดถึง Boris Johnson อดีตนายกเทศมนตรีกรุง London

Johnson เคยเป็นนักข่าวมาก่อนที่จะผันตัวเข้าสู่สภาในปี 2001 ก่อนที่ปี 2008 จะก้าวขึ้นเป็นนายกเทศมนตรีกรุง London ก่อนหน้านั้นระหว่างปี 1999-2005 Johnson รับหน้าที่บรรณาธิการของ The Spectator วารสารแสดงความคิดเห็นเชิงอนุรักษ์นิยม และยังเคยทำงานให้กับ Daily Telegraph และ The Times มาก่อนด้วย เมื่อสมัยเรียนที่ Oxford นั้น Johnson ได้รับเลือกเป็นประธาน Oxford Union นักการเมืองน้อยคนนักที่จะเขียนหนังสือเป็น แต่ Johnson ทำได้และทำได้ดีเสียด้วย ในปี 2014 เขาตีพิมพ์หนังสือที่มีชื่อว่า The Churchill Factor: How One Man Made History (Riverhead Books) “หากคุณอยากรู้ความเป็นมาเป็นไปของวินาทีแห่งการตัดสินที่เกิดขึ้นในสงคราม โลกครั้งสุดท้ายแล้วละก็ ตามผมมาได้เลย” Johnson เขียนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26-28 พฤษภาคม 1940 “เราเข้าไปข้างในห้องอันซอมซ่อของสภาสามัญชนเดินขึ้นบันไดไปอีกไม่กี่ขั้นผ่านเข้าประตูบานเก่าที่เสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดและเดินไปตามทางเดินที่มีแสงไฟสลัว” ณ ตอนนั้นสถานการณ์ดูเหมือนว่าอังกฤษ กำลังจะตกเป็นเหยื่อรายต่อไปของเยอรมนี “ที่บริเวณ Channel Ports กองกำลังอังกฤษโดนตัดขาดจนเหลือเพียงหยิบมือ...และกำลังรออพยพอยู่ที่ Dunkirk ถ้าหาก Hitler ยอมเชื่อฟังนายพลของตัวเองแล้วละก็น่าจะกำราบพวกเราลงได้...พร้อมกับทำลาย ความสามารถในการป้องกันประเทศแห่งนี้ลงอย่างราบคาบ” Johnson ค่อยๆ ทบทวนเหตุการณ์ใกล้หายนะในครั้งนั้น “ผมคิดว่าคนรุ่นผมหลายคน (นี่ยังไม่ต้องนับรุ่นลูกนะ) ไม่เข้าใจนักหรอกว่าเราเกือบไปแล้วแค่ไหน และหลังการพิจารณาด้วยเหตุผลอย่างรอบคอบแล้วนั้น ในปี 1940 อังกฤษใกล้เคียงกับการยอมแพ้มากแค่ไหน ผู้มีอำนาจหลายคนเรียกร้องอย่างจริงจังให้มีการ ‘เจรจา’ [กับ Hitler]” เย็นวันที่ 28 พฤษภาคม Churchill เอาชนะ Halifax พร้อมขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้าคณะรัฐมนตรี ซึ่งจบลงด้วยวาทะดังนี้ “หาก สุดท้ายแล้วเรื่องเล่าอันยาวนานของเกาะของพวกเราแห่งนี้จะต้องมาถึงตอนจบ ก็ให้มันจบเมื่อพวกเราทุกคนกระอักเลือดหลั่งรดลงแผ่นดินเท่านั้น”  

จากเงินกระดาษสู่ทองคำดิจิทัล

อีกหนึ่งสุดยอดงานเขียนที่พลาดไม่ได้ คือ The Scandal of Money:Why Wall Street Recovers but the Economy Never Does ผลงานระดับ masterpiece เล่มบางของ George Gilder เหมาะสำหรับจับคู่อ่านกับ Money: How the Destruction of the Dollar Threatens the Global Economy-and What We Can Do About It ซึ่งเป็นผลงานปี 2014 ของ Steve Forbes และ Elizabeth Ames ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นหนังสือระดับคลาสสิกในชั่วข้ามคืน โดยหนังสือของ Forbes และ Ames จะเน้นที่ประวัติของเงิน ขณะที่ของ Gilder เน้นการวิเคราะห์ Bitcoin ซึ่งเป็นสกุลเงินยุคใหม่ที่เปิดตัวอย่างห้าวหาญ รวมไปถึงการวิเคราะห์สกุลเงินดิจิทัลเข้ารหัสอื่นๆ ประเด็นสำคัญของ Gilder คือ สหรัฐฯ ทำผิดพลาดอย่างร้ายแรงเมื่อตัดสินใจยกเลิกระบบมาตรฐานทองคำในปี 1971 เพราะเท่ากับทำลายคุณสมบัติอันล้ำค่าและองค์ประกอบสำคัญๆ ของเงินลงไปหลายด้านด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเสถียรภาพ มูลค่าของข้อมูล และความสัมพันธ์กับกาลเวลา ผลของการตัดสินใจครั้งนั้น แม้ว่าในปี 1971 อาจจะยังนึกไม่ถึงแต่ก็เดาได้ไม่ยากนั่น คือ วิศวกรรมการเงินกลายมาเป็นที่นิยม ขณะที่การลงทุนระยะยาวเริ่มหมดความสำคัญลงไป นับตั้งแต่ปี 1971 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีอัตราการขยายตัวต่อปีต่ำกว่าการขยายตัวในช่วงปี 1945-1970 เสียอีกส่วนสาขาการให้บริการทางการเงินนั้นปัจจุบันมีขนาดใหญ่กว่าเมื่อปี 1971 ถึง 4 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับภาพรวมของเศรษฐกิจ การบริหารเงินร้อนกลายเป็นทางออกที่สมเหตุสมผลในช่วงเวลาที่เงินขาด เสถียรภาพและอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ แม้กระทั่ง Silicon Valley ซึ่ง Gilder รักนักรักหนายังได้รับผลกระทบต่างๆ เหล่านี้ด้วย เนื่องจากเงินร่วมลงทุนส่วนมากในเวลานี้ต่างหันเข้าหาเว็บแอพพลิเคชั่น ซึ่งมีมูลค่าขึ้นลงอย่างรวดเร็ว Gilder คาดการณ์ว่า Bitcoin และเงินรูปแบบอื่นๆ ในลักษณะเดียวกันนี้จะเข้ามาเติมเต็มความต้องการเงินที่มีเสถียรภาพ แต่ก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้เช่นกัน เพราะรัฐบาลทั่วโลกจะลุกขึ้นมาต่อต้านการใช้ Bitcoin ให้ถึงที่สุดอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐบาลหมดอำนาจในการบริหารจัดการค่าเงินแล้ว พวกเขาจะเริ่มหมดอำนาจลงเช่นกัน นับเป็นข่าวร้ายของรัฐบาล แต่เป็นข่าวดีของพวกเรายังไงละ RICH KARLGAARD ผู้พิมพ์ผู้โฆษณาของ Forbes กับผลงานหนังสือเล่มล่าสุด TEAM GENIUS : THE NEW SCIENCE OF HIGH-PERFORMING ORGANIZATIONS
คลิกอ่านบทความเพื่อจุดประกายไฟฝันทางด้านธุรกิจ จาก Forbes Thailand ฉบับ JUNE 2016 ในรูปแบบ E-Magazine