หลังคาโซลาร์ SCG จับมือ Enphase ร่วมนำเทคโนโลยีไมโครอินเวอร์เตอร์มาใช้ในตลาดงานบ้านรายแรกและรายเดียวหวังเพิ่มประสิทธิภาพ ยกระดับความปลอดภัย
ธงชัย โสภณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี รูฟฟิ่ง จำกัด ในกลุ่มธุรกิจหลังคา เอสซีจี เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาด Solar Rooftop ในปัจจุบัน มีการเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่มีการผลักดันจากหลายภาคส่วนมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการลดต้นทุนที่ดีในการดำเนินธุรกิจ ส่วนในทิศทางของภาคครัวเรือน ได้มีการส่งเสริมนโยบายโครงการโซลาร์ภาคประชาชนอย่างจริงจัง โดยสนับสนุนให้มีการติดตั้งหลังคาโซลาร์ภาคครัวเรือน ผนวกกับเทคโนโลยีโซลาร์ที่มีการพัฒนาทำให้ราคาเข้าถึงง่ายขึ้น และสอดคล้องกับด้านพฤติกรรมผู้บริโภคที่ปรับตัวกับสถานการณ์โควิด-19 ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้คนส่วนใหญ่ทำงานที่บ้าน จึงมีการใช้ไฟฟ้าในช่วงกลางวันที่เพิ่มมากขึ้น “เอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชัน” หนึ่งในผู้นำด้านนวัตกรรมระบบหลังคาโซลาร์สำหรับที่พักอาศัย พร้อมโซลูชันครบวงจร ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพและยกระดับความปลอดภัยอีกขั้น โดยร่วมมือกับทาง Enphase Energy ผู้นำด้านเทคโนโลยีพลังงานของโลก ซึ่งถือเป็นอันดับ 1 ของตลาดไมโครอินเวอร์เตอร์ในสหรัฐฯ นำเทคโนโลยีไมโครอินเวอร์เตอร์ (Microinverter) พร้อมรุกตลาดโซลาร์ขยับสู่การเป็นผู้นำด้าน Residential Solar Market อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะช่วยยกระดับมาตรฐานของระบบหลังคาโซลาร์ในประเทศไทยขึ้นไปอีกขั้น ด้าน Dave Ranhoff Chief commercial Officer บริษัท Enphase Energy กล่าวถึงการร่วมมือในครั้งนี้ว่า มีความยินดีที่ได้ผนึกกำลังร่วมกับเอสซีจี ซึ่งถือเป็นบริษัทวัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่และอยู่มาอย่างยาวนานที่สุดในประเทศไทย อีกทั้งยังถือเป็นหน่ึงในผู้นำด้านพลังงานแสงอาทิตย์ในภูมิภาค ซึ่งไมโครอินเวอร์เตอร์ Enphase ตอบโจทย์เรื่องความคุ้มค่าของระบบโซลาร์ ในการแปลงกระแสไฟฟ้าโดยไม่ใช้กระแสไฟแรงดันสูง พร้อมกับมาตรฐานระบบการตัดไฟฉุกเฉินเมื่อระบบเกิดปัญหา โดยมุ่งหวังว่าการทำงานร่วมกันจะช่วยยกระดับความน่าเชื่อถือของเทคโนโลยีโซลาร์ในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี “สำหรับเทคโนโลยีไมโครอินเวอร์เตอร์ของ Enphase ซึ่งถือเป็นระบบที่ให้ความคุ้มค่าสูงสุด ด้วยระบบควบคุมการทำงานโซลาร์แบบรายแผง นอกจากนี้ยังมีระบบ Rapid Shutdown ปิดระบบการทำงานทันทีอย่างรวดเร็วตามมาตรฐานให้ความปลอดภัยสูงสุด ทั้งยังเชื่อมั่นว่าการเดินหน้าร่วมกับเอสซีจีในครั้งนี้ จะช่วยยกระดับมาตรฐานระบบหลังคาโซลาร์ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พร้อมก้าวสู่การเป็นผู้นำในตลาดประเทศไทย”เพิ่มประสิทธิภาพแผงโซลาร์
ไมโครอินเวอร์เตอร์แปลงไฟจากพลังงานแสงอาทิตย์ผ่าน Solar Rooftop เปลี่ยนไฟฟ้ากระแสตรงให้เป็นไฟฟ้ากระแสสลับ จากนั้นจะส่งไปยังตู้ไฟและจ่ายไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ในบ้านหรืออาคารได้ ซึ่งระบบไมโครอินเวอร์เตอร์จะเชื่อมต่อกับแผงโซลาร์ ในอัตรา 1:1 จึงทำให้สามารถดึงกระแสไฟฟ้าจากแผงโซลาร์แต่ละแผงไปใช้ได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ด้วยระบบการทำงานที่อิสระต่อกันยังส่งผลให้มีความปลอดภัยต่อผู้ใช้งานที่มากกว่าเดิมอีกด้วย สามารถผลิตไฟฟ้าได้รายแผง โดยไม่เชื่อมกับประสิทธิภาพการผลิตไฟจากแผงอื่น ซึ่งกรณีที่แผงเกิดมีเงาบัง หรือ เกิดความผิดปกติ จะไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตไฟของแผงอื่น ซึ่งจุดเด่นของเทคโนโลยีไมโครอินเวอร์เตอร์แปลงกระแสไฟฟ้าเป็นรายแผง จึงเกิดเป็นกระแสไฟฟ้าแรงดันต่ำ หรือ Low Voltage ทำให้ปลอดภัยมากกว่า อีกทั้งยังมีระบบ Rapid Shutdown ซึ่งจะตัดการทำงานทันทีเมื่อเกิดความผิดปกติกับระบบเพื่อความปลอดภัยสูงสุดของผู้ใช้งาน “เอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชัน ตั้งเป้าขยายการเติบโตสู่ตลาด Solar Rooftop สู่การเป็นผู้นำด้าน Residential Solar Market ในประเทศไทย โดยคาดว่าจะสามารถสร้างยอดขาย 300 เปอร์เซ็นต์จากปี 2021 รุกด้วยกลยุทธ์ Customer Database จากฐานข้อมูลเครือข่ายของเอสซีจีทั้งหมด ผนวกรวมกับพันธมิตรอย่าง Enphase Energy ผู้นำด้านเทคโนโลยีพลังงานไมโครอินเวอร์เตอร์ระดับโลก รวมไปถึงจุดแข็งด้านการให้บริการและการดูแลหลังการขายจากผู้เชี่ยวชาญ ตั้งแต่การตรวจสอบความพร้อมของหลังคาก่อนติดตั้งโซลาร์ ออกแบบ ติดตั้ง และขออนุญาตกับภาครัฐให้อย่างครบวงจร เพื่อให้การติดตั้งโซลาร์ รูฟ เป็นไปตามมาตรฐานและปลอดภัยสำหรับผู้ใช้งาน พร้อมรับประกัน 25 ปีโดยเอสซีจี โดยเชื่อมั่นว่าการผนึกกำลังในครั้งนี้จะสร้างความแข็งแกร่งและยกระดับขีดความสามารถด้านศักยภาพอย่างแน่นอน” ธงชัย กล่าวปิดท้าย อ่านเพิ่มเติม: สิงห์ เอสเตท ตั้งเป้าปี 65 สร้างนิวไฮธุรกิจ 1.34 หมื่นล้านบาทไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine