สตรอแมนน์ กรุ๊ป ขยายธุรกิจในไทย - Forbes Thailand

สตรอแมนน์ กรุ๊ป ขยายธุรกิจในไทย

สตรอแมนน์ กรุ๊ป สวิสเซอร์แลนด์ เผยตลาดทันตกรรมรากฟันเทียมในไทยเติบโตสูง ไอทีไอ (ITI) เปิดสาขาประเทศไทย พร้อมยกระดับอุตสาหกรรมรากฟันเทียมรองรับการเติบโตกลุ่ม Wellness & Health Care ลุ้นภาครัฐสนับสนุนแผน 5 ปีเปิดโรงงานผลิตรากฟันเทียมในประเทศไทย

นงลักษณ์ กิจเจริญการกุล ประธานบริหาร บริษัท สตรอแมนน์ กรุ๊ป (ประเทศไทย) ผู้นำเข้ารากฟันเทียมภายใต้แบรนด์ “สตรอแมนน์” (Straumann) เปิดเผยว่า “สตรอแมนน์เป็นแบรนด์รากฟันเทียมที่มีต้นกำเนิดจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ บริษัทก่อตั้งมาปีนี้เป็นปีที่ 68 และเป็นแบรนด์รากเทียมที่มียอดขายเป็นอันดับ 1 ในตลาดทันตกรรมรากฟันเทียมของโลก โดยครองส่วนแบ่งทางการตลาด ร้อยละ 29 จากมูลค่าตลาดรวมกว่า 3.4 แสนล้านบาท สำหรับประเทศไทยแบรนด์รากเทียมสตรอแมนน์ได้เข้ามาเกือบ 20 ปี พบว่าตลาดรากฟันเทียมในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในอัตราร้อยละ 10-20 ต่อปี ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 600 ล้านบาท เมื่อวิเคราะห์จากปริมาณการใช้รากฟันเทียมของคนไข้ในประเทศที่มีอยู่เพียง 70,000 รากเทียม ซึ่งเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรไทยกว่า 67 ล้านคน ตลาดนี้จึงมีโอกาสเติบโตอีกมาก “ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ตลาดทันตกรรมรากฟันเทียมจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่สามารถเติบโตกลับคืนมาใกล้เคียงเดิมและจะยังเติบโตได้อีกมาก อีกทั้งไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ในยุค Next Normal หันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะสุขภาพร่างกายและช่องปาก รวมถึงยังให้ความสำคัญกับการเลือกใช้อุปกรณ์ที่มีคุณภาพและมีมาตรฐานความปลอดภัยสูง และการดูแลหลังการเข้ารับบริการ” นอกจากนี้ ที่ผ่านมาพบปัญหาสำคัญของคนไข้ทั้งการใช้รากฟันเทียมที่ไม่ได้คุณภาพ ทำให้ต้องเข้ารับการรักษาใหม่ หรือปัญหาการใช้รากฟันเทียมจากบริษัทนำเข้าที่ไม่ใช่บริษัทเจ้าของสินค้ามาทำตลาดโดยตรงในประเทศ ทำให้มีโอกาสปิดตัวหรือเลิกนำเข้าเมื่อได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจหรือยอดขายไม่ได้ตามเป้า ส่งผลต่อคนไข้เมื่อเกิดปัญหากับรากฟันที่ใช้อยู่ บริษัทฯ จึงปรับแผนการตลาด เพื่อให้สอดรับความต้องการของกลุ่มคนไข้และการเติบโตของตลาดทันตกรรมรากฟันเทียมในอนาคต

ขยายผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกเซกเมนต์

ปัจจุบัน บริษัทนำเข้าผลิตภัณฑ์ด้านทันตกรรมที่เกี่ยวข้องกับงานรากเทียมครอบคลุมทุกความต้องการ โดยในส่วนรากฟันเทียม แบ่งออกเป็น รากฟันเทียมแบรนด์ Straumann ซึ่งถือเป็นเรือธงที่นำเข้ามาเพื่อเจาะกลุ่มตลาด Premium segment ในประเทศไทย รวมถึงคนไข้ชาวต่างชาติที่เดินทางมารักษาในประเทศไทย รวมถึงการรับประกันสินค้าตลอดชีวิตการใช้งานของคนไข้ และ worldwide guarantee ทำให้สะดวกในการขอเคลมสินค้าเมื่อมีปัญหาโดยตรงกับบริษัทฯ ในประเทศที่อาศัยอยู่ได้ทันที ไม่ว่าจะทำการรักษามาจากประเทศไหนก็ตาม และมีแบรนด์ Neodent ซึ่งถือเป็นแบรนด์รากฟันเทียมน้องใหม่ที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยได้เพียง 5 ปี เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่ม Value segment หรือกลุ่มคนไข้ระดับแมส เป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ด้านราคา และล่าสุดได้นำเข้า เทคโนโลยีและอุปกรณ์สำหรับการจัดฟันใส เพื่อเจาะตลาดการจัดฟันใสในกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานที่เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น ช่วยให้การจัดฟันใสมีราคาที่เอื้อมถึงได้ นงลักษณ์ กล่าวว่า บริษัทฯ ยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรอย่าง “ไอทีไอ” หรือ International Team for Implantology (ITI) ซึ่งเป็นองค์กรสนับสนุนทันตแพทย์ด้านทันตกรรมรากฟันเทียม เปิดตัว International Team for Implantology - Thailand section อย่างเป็นทางการในประเทศไทย เพื่อร่วมมือกันพัฒนาองค์ความรู้ด้านทันตกรรมรากเทียม ด้วยการสนับสนุนให้ความรู้แก่ทันตแพทย์ ผ่านการจัดอบรมโดยทันตแพทย์รากเทียมที่มีชื่อเสียงระดับโลก พร้อมทั้งสนับสนุนงบประมาณการวิจัยให้แก่ทันตแพทย์ เพื่อนำผลวิจัยต่าง ๆ มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งขึ้น และสามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่จะทำให้สินค้าราคาถูกลงและเป็นประโยชน์ในการรักษาต่อคนไข้ในอนาคต ดร. อเล็กซานเดอร์ อ็อชเนอร์ ประธานบริหารองค์กร International Team for Implantology (ITI) กล่าวว่า ITI เป็นองค์กรนานาชาติ ที่ก่อตั้งมานานกว่า 42 ปี มีเครือข่ายกว่า 40 ประเทศ และมีสมาชิกกลุ่มทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านงานรากเทียมกว่า 18,000 คน จาก 100 ประเทศทั่วโลก โดยมีพันธกิจหลักคือ การแบ่งปันความรู้ทางงานทันตกรรมรากเทียม และสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการจัดกิจกรรมให้ความรู้ต่างๆ ทั้งการประชุมสัมนาย่อย และการประชุม ระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับโลก โดยได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจาก สตรอแมนน์ กรุ๊ป สำหรับในประเทศไทย ITI ได้เข้ามาเป็นที่รู้จักกว่า 19 ปี ปัจจุบันมีสมาชิกทันตแพทย์ไทยมากกว่า 300 คน ในปีนี้ประเทศไทยได้รับการคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 40 ประเทศ จัดตั้ง International Team for Implantology - Thailand section อย่างเป็นทางการ เพื่อร่วมมือกันยกระดับคุณภาพวงการทันตกรรมงานรากเทียมในประเทศไทย ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตสูงเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน นงลักษณ์ กล่าวว่า สตรอแมนน์ ได้ตั้งเป้าหมายทางการตลาดในปี 2565 จะสามารถทำรายได้รวมกว่า 300 ล้านบาท พร้อมทั้งได้ตั้งเป้าหมายสำคัญภายใน 5 ปีข้างหน้า เตรียมสร้างฐานการผลิตในประเทศไทย หากได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคและได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐบาลในการยกระดับอุตสาหกรรมรากฟันเทียมในประเทศไทยรองรับการเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรม Wellness & Health Care ในภูมิภาคนี้ อ่านเพิ่มเติม: ‘ถิรายุ ทรงเวชเกษม’ เลือดใหม่แม็คโคร หนุนยุทธศาสตร์สู่ผู้นำค้าส่งค้าปลีกดิจิทัล

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine