วอลล์สตรีท อิงลิช ประเทศไทย ขยายสาขา เปิดแฟรนไชส์ ตั้งเป้า 2 ปี หวังรายได้ 2 พันล้านบาท ขยายสาขา 2 เท่า - Forbes Thailand

วอลล์สตรีท อิงลิช ประเทศไทย ขยายสาขา เปิดแฟรนไชส์ ตั้งเป้า 2 ปี หวังรายได้ 2 พันล้านบาท ขยายสาขา 2 เท่า

แมทธิว กิจโอมาน ประธานกรรมการ วอลล์สตรีท อิงลิช ประเทศไทย เผยหลังบรรลุสัญญาใหม่  MFA เปิดแฟรนไชส์ไทยและประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ลาว กัมพูชา เมียนมา พร้อมลงทุน 600 ล้านบาท ใน 2 ปีต่อจากนี้ ด้าน โอฬาร พิรินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เผย 3 กลยุทธ์หลักพา วอลล์สตรีท อิงลิช ประเทศไทย สู่เป้าหมาย

ปัจจุบัน วอลล์สตรีท อิงลิช ประเทศไทย ถือเป็นผู้นำในตลาดสถาบันสอนภาษาระดับพรีเมียม ครองสัดส่วนราว 38%  ทิ้งห่างอันดับสองที่มีสัดส่วนราว 12% ซึ่งในกลุ่มสถาบันสอนภาษาระดับพรีเมียมในประเทศไทยมีอยู่ราว 4-5 ราย อาทิ บริติช เคานซิล, AUA เป็นต้น โดยนัยยะของความพรีเมียมมาจาก มาตรวัดจากการแบรนด์ดิ้งและราคาคอร์สเรียน “ปี 2557 เราใช้งบลงทุนราว 200 ล้านบาท จนปัจจุบันในปี 2561 เรามีสาขา 14 สาขา สำหรับรายได้ 9 เดือนแรกของปีนี้ เรามีรายได้รวมที่ราว 600 ล้านบาท เพิ่มมากขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่ตลอดทั้งปี 2560 อยู่ที่ราว 400 ล้านบาท โดยแผนสาขาในปีนี้เราตั้งเป้าเปิดสาขาเพิ่มใน 3 พื้นที่ อาทิ สาขาเดอะมอลล์ บางกะปิ ห้างสรรพสินค้า MAYA เชียงใหม่” แมทธิว กิจโอมาน ประธานกรรมการ วอลล์สตรีท อิงลิช ประเทศไทย กล่าวและเสริมว่า ด้วยสัดส่วนทางการตลาดอันดับหนึ่งของเราที่ 33 เปอร์เซ็นต์ในกลุ่มพรีเมียม มีส่วนสำคัญผลักดันให้มูลค่าตลาดรวมของสถาบันสอนภาษาในประเทศไทยอยู่ที่ราว 3 พันล้านบาท ซึ่งราวสองเดือนที่ผ่านมาเราได้แก้ไขสัญญาใหม่กับเจ้าของลิขสิทธิ์ในรูปแบบ MFA (master franchise agreement) ซึ่งการแก้ไขสัญญาครั้งนี้ทำให้เราสามารถขายแฟรนไชส์ได้ในประเทศไทย พม่า ลาว และ กัมพูชา “เรามองไปในปี 2020 (พ.ศ.2563) โดยตั้งเป้าขยายสาขาเป็น 28 สาขา เป็นสาขาที่เราเปิดเองราว 10 สาขาในไทย ส่วนในสาขาที่เป็นสาขาแฟรนไชส์ซึ่งยังเปิดกว้างสำหรับผู้ที่มองเห็นโอกาสตรงนี้ โดยเราต้องการผู้ประกอบการที่มีใจรักทางด้านการศึกษาอย่างแท้จริงมาร่วมธุรกิจ ซึ่งเราคาดรายได้ในปี 2563 ที่ราว 2 พันล้านบาท” แมทธิว กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า ถ้ามองภาพในเอเชียไม่นับรวมประเทศจีนแล้วนั้น วอลล์สตรีท อิงลิช ประเทศไทย ถือเป็นประเทศอันดับหนึ่งในภูมิภาคนี้ โดยมี เวียดนาม และ เกาหลี เป็นประเทศอันดับที่สองและสาม ซึ่งจากปัจจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเป็นประเทศที่สามที่สามารถดำเนินธุรกิจในระบบแฟรนไชส์ต่อจาก ฝรั่งเศส อิตาลี โดย ทั้งนี้ วอลล์สตรีท อิงลิช ประเทศไทย ยังเป็น 1 ใน 5 อันดับจากทั่วโลกที่ทำรายได้สูงสุด
โอฬาร พิรินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร วอลล์สตรีท อิงลิช ประเทศไทย
ด้าน โอฬาร พิรินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร วอลล์สตรีท อิงลิช ประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในปัจจุบันที่ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปแม้เราจะเป็นแบรนด์สอนภาษาลำดับต้นๆ เราก็ต้องปรับตัวไปตามพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป อย่างสาขาใหม่ของ วอลล์สตรีท อิงลิช สาขา บางกะปิที่เปิดใหม่รูปแบบการตกแต่งเปลี่ยนไป ให้ทันสมัย ออกแบบพื้นที่ให้โปร่งโล่งสบาย “ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าของเราแบ่งเป็น 3 ช่วงอายุ ได้แก่ 15-22 ปี 23-29 ปี และ 30 ปีขึ้นไป ซึ่งแต่ละกลุ่มมองเห็นความสำคัญของภาษาอังกฤษในการต่อยอดเส้นทางการทำงาน ปัจจุบันเรามีบัญชีสมาชิกที่เคลื่อนไหวราวหนึ่งหมื่นกว่าราย ด้วยจุดเด่นของเรานอกจากผู้สอนที่เป็นเจ้าของภาษาและสัดส่วนผู้สอนต่อนักเรียนที่ราว 5 ต่อ 1 แล้วนั้น หลักสูตรการเรียนของเรายังได้รับการรับรองจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์” โอฬารกล่าวและเสริมว่า “เราพัฒนาโปรแกรม MyStudy ซึ่งเป็นโปรแกรมติดตามการเรียนการสอนได้อย่างต่อเนื่อง ทุกที่ทุกเวลา สามารถจองคลาสเรียน เช็คตารางเรียน และดูประวัติการเรียนของผู้เรียน ได้สะดวกและง่ายยิ่งขึ้น เราเตรียมงบทางการตลาดไว้ราว 10-12 เปอร์เซ็นต์จากยอดขายเพื่อดำเนินตามเป้าหมายการเติบโตของ วอลล์สตรีท อิงลิช ประเทศไทย ใน 3 กลยุทธ์คือ การขยายสาขา การสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักการตลาดระหว่างออนไลน์และออฟไลน์ทั้งสื่อสังคมออนไลน์ โซเชียลมีเดีย และผ่าน แอมบาสเดอร์โดยมีปีที่ผ่านมาเราใช้ นนท์ เดอะวอยซ์ และปีนี้ คือ นิโคลีน พิชาภา มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2018 ซึ่งทั้งสองคนยังลงเรียนกับเราจริง”