ลดทอนความเสี่ยงและเสริมสร้างประสิทธิภาพของธุรกิจ ด้วยระบบ cloud - Forbes Thailand

ลดทอนความเสี่ยงและเสริมสร้างประสิทธิภาพของธุรกิจ ด้วยระบบ cloud

FORBES THAILAND / ADMIN
31 Oct 2014 | 06:21 PM
READ 2233
หลังเหตุวุ่นวายทางการเมืองในปี 2553 ตามมาด้วยน้ำท่วมใหญ่ในปีถัดมา ในวันนี้คงยากที่จะยืนยันต่อไปว่า เมืองไทยช่างสุขสบายไร้ความเสี่ยงใดๆ แม้ว่าจะปักหลักอยู่กลางเมืองหลวงก็ตาม
 
หากย้อนกลับไปช่วงวิกฤต หลายคนอาจแก้ปัญหาเฉพาะตัวด้วยการอพยพย้ายบ้านเป็นกรณีชั่วคราว แต่หากเป็นสำนักงานหรือหน่วยงานธุรกิจ-ราชการ ที่เป็นสถานที่ทำงานของคนจำนวนมาก ต้องพบปะแลกเปลี่ยนการงานระหว่างกัน และยังเป็นแหล่งเก็บรวบรวมข้อมูลธุรกิจมากมาย ทางแก้ปัญหาคงไม่ง่ายแค่อพยพย้ายหนี พอสถานการณ์คลี่คลายถึงค่อนย้ายกลับ
 
หนึ่งในผู้ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเมืองปี 2553 หนีไม่พ้นเครือโรงแรมดุสิตธานี หรือ “ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล” ซึ่งตั้งอยู่หัวถนนสีลมนั่นเอง ซึ่งมีสาขาโรงแรมในต่างประเทศหลายแห่ง งานด้านไอทีเพื่อใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างกันจึงเป็นหัวใจสำคัญ  แต่อย่างไรก็ตามด้วยโซลูชั่นของ Microsoft ได้ช่วยขจัดอุปสรรคดังกล่าว พร้อมกับช่วยให้ธุรกิจเดินหน้าอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
 
ศรีสมบัติ แวงชิน ผู้ช่วยรองประธานฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า แผนงานธุรกิจของเครือดุสิตในปัจจุบัน จะเน้นขยายสาขาในต่างประเทศ ลดการขยายในไทย เพื่อให้เป็นเชนโรงแรมระดับอินเตอร์มากขึ้น ทำให้งานด้านไอทีเป็นเรื่องสำคัญ ทางผู้บริหารจึงได้เตรียมความพร้อมด้านนี้มาตั้งแต่ปี 2544 แล้ว โดยตั้ง data center ที่สีลม พร้อมทั้งเลือกใช้ระบบออฟฟิศออโตเมชั่นต่างๆ ของ Microsoft ตั้งแต่แรกเริ่ม เพราะคำนึงถึงธุรกิจที่กำลังจะไปโตในที่อื่นๆ ทั่วโลก การติดตั้งระบบต้องสามารถทำได้ในที่นั้นๆ ไม่ต้องส่งคนจากไทยไป
 
แม้เราจะคาดการณ์ไว้แล้วว่าสักวันหนึ่งอาจเกิดปัญหากับศูนย์ที่สีลมได้ เพราะทราบดีว่าบริเวณนั้นคือ “red zone” จะมีปัญหาต่างๆ มากระทบเรื่อยๆ เช่นเรื่องการเมือง เป็นต้น  จึงตั้งสาขาที่ศรีนครินทร์เป็น disaster recovery site  ไว้อีกแห่ง ในเวลานั้นคิดว่าเพียงพอแล้ว แต่เมื่อเกิดเหตุรุนแรงยิงกันแถวสีลม ทำให้เราได้ทดลองใช้ระบบจริง ทีมงานเข้าบริเวณนั้นไม่ได้เลย ต้องไปรวมศูนย์ที่ศรีนครินทร์ โชคดีระบบการติดต่อสื่อสารไม่ขาด ทำให้ติดต่อกับต่างประเทศได้ตลอด
 
“จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ผู้บริหารจึงเริ่มคิดที่จะตั้ง data center ที่เมืองนอก  จึงเริ่มวางแผนกัน เริ่มศึกษาข้อมูลที่เมืองนอก ดูงบประมาณค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่จำเป็น แต่สุดท้ายเปรียบเทียบโซลูชั่นหลายๆ ทาง เราตัดสินใจเลือก Office 365 ซึ่งเป็นชุดโปรแกรมที่ทำงานบนระบบ cloud ของ Microsoft เพราะตอบโจทย์ของเราได้ตรงที่สุด” ศรีสมบัติกล่าวถึงทางเลือกที่ทำให้ต้องลงทุนตั้งศูนย์ข้อมูลยังต่างแดน
 
ปัจจุบันนี้ ผู้บริหารทั้งหมดของดุสิตธานีใช้งานในระบบ Office 365 หรืออยู่บน cloud แล้ว ขณะที่ยังมีบางส่วนอยู่บน server แต่ทั้งสองส่วนเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีความแตกต่าง พร้อมทั้งช่วยแก้ปัญหาจุกจิกหลายเรื่อง เช่น mailbox ผู้บริหารเต็ม หรือการสลับใช้อุปกรณ์พกพาต่างๆ ไม่ว่า smart phone หรือ tablet ก็ใช้งานร่วมกันได้อย่างไม่มีปัญหา ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหน ขอให้เข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ก็สามารถใช้งานข้อมูลได้เสมอ

โดยก่อนนี้ผู้บริหารแต่ละท่านจะแก้ปัญหาของตัวเอง ด้วยการจัดเก็บข้อมูลใน public cloud  ทำให้ฝ่ายไอทีไม่สามารถช่วยดูแลความปลอดภัยของข้อมูลได้เลย ต้องค่อยๆ พยายามให้มาใช้ OneDrive  จึงช่วยลดปัญหา data security ไปได้
 
“เราออกแบบระบบจากที่เดียวในเมืองไทย เมื่อจะเปิดสาขาหรือเปิดระบบใหม่ในต่างประเทศ ก็ยกทั้งหมดไปได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาในการติดตั้งหรือการเทรนนิ่ง เราสามารถควบคุมจากส่วนกลาง รวมทั้งบริหารข้อมูลที่เป็นความลับของลูกค้า Microsoft สามารถให้ตรงนี้ได้” ผู้บริหารไอทีของดุสิตอินเตอร์ฯ กล่าว
 
อนุกูล ปิยะธนานุกูล ผู้จัดการทั่วไปบริษัทเอ็มเวิร์จ จำกัด ในฐานะพาร์ตเนอร์ติดตั้งระบบให้กับดุสิตอินเตอร์ฯ มากว่าเจ็ดปี และพาร์ตเนอร์ Microsoft มากว่า 10 ปี  กล่าวว่า Microsoft เป็นผู้นำตลาดของระบบคลาวด์โซลูชั่นแบบครบวงจร ทำให้ธุรกิจมีทางเลือกมากขึ้น ช่วยให้การทำงานมีความคล่องตัวมากขึ้น และช่วยลดต้นทุน ทำให้แนวโน้มงานด้านไอทีของธุรกิจในอนาคตจะเป็นลูกผสมมากขึ้น บางส่วนบนเซิร์ฟเวอร์ บางส่วนบนคลาวด์
 
“cloud เป็นจุดเปลี่ยนอุตสาหกรรมไอที ทำให้การทำธุรกิจที่ใช้ไอทีเข้าถึงได้ง่ายขึ้น สามารถใช้ tablet ติดต่อสื่อสารได้ทั่วโลก ติดตั้งที่หนึ่งแล้วย้ายไปอีกที่ได้ แต่ก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยควบคู่กัน ต้องป้องกันไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวหลุดออกไปถึงคนนอก  ซึ่ง Microsoft สามารถทำจุดนี้ได้ดีมาก”
 
ทั้งนี้ Alvaro Celis รองประธานบริหารฝ่ายขาย การตลาด บริการ สารสนเทศ และปฏิบัติการ Microsoft ประจำเอเชียแปซิฟิก เปิดเผยว่า ทางบริษัทพร้อมแล้วสำหรับการลงทุนด้านเทคโนโลยี mobile ละ cloud ทั่วเอเชียแปซิฟิก ภายใต้กลยุทธ์ mobile-first cloud-first  เพราะว่าในปีหน้า มูลค่าตลาด cloud ในเอเชียแปซิฟิกสูงถึง 8.6 พันล้านเหรียญ ขณะที่การลงทุนด้านอุปกรณ์อาจพุ่งมาแตะ 6.8 หมื่นล้านเหรียญในอีก 3 ปี  ขณะที่การให้บริการด้าน cloud ของ Microsoft ในภูมิภาคนี้เติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดถึง 4 เท่าตัว
 
“สำหรับประเทศไทย เทคโนโลยี cloud เติบโตอย่างชัดเจน เราได้ทำงานกับพันธมิตรกว่า 1,800 รายเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจไปสู่ความสำเร็จ รวมไปถึงธุรกิจด้านท่องเที่ยวและบริการที่มีมูลค่าถึง 20.2% ของ GDP ในปีที่ผ่านมา” รองประธานบริหารฯ เสริมอีกว่า ความร่วมมือกับเอ็มเวิร์จช่วยเสริมสร้างศักยภาพให้กับดุสิตอินเตอร์ฯ ให้กลายเป็นเชนโรงแรมชั้นนำของคนไทย สามารถยกระดับการทำงานให้มีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพ สามารถรักษามาตรฐานงานบริการระดับโลก และช่วยขับเคลื่อนแบรนด์ไทยก้าวสู่ตลาดโลกได้อย่างมีศักดิ์ศรี