ลงทุนแบบนักสะสม - Forbes Thailand

ลงทุนแบบนักสะสม

จะสะสมของสักชิ้น มักเริ่มจากความสนใจในเรื่องนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็น พระเครื่อง นาฬิกา รถ เพชร ฯลฯ อาจเพราะด้วยความชอบเป็นการส่วนตัว หรือเป็นรสนิยมเพื่อแสดงระดับฐานะก็ตามที การสะสมทุกวันนี้เรียกว่าเป็นงานอดิเรกที่ไม่ใช่ทำกันเล่นๆ ของสะสมหลายๆ ชิ้นราคาสูงถึงขั้นที่ต้องมีเงินระดับเศรษฐีถึงจะครอบครองได้ พระเครื่องหรือนาฬิการะดับสิบล้านบาทไม่ใช่ตัวเลขที่สุดโต่งอีกต่อไปแล้ว นอกจากนั้นนักสะสมตัวจริงมักต้องศึกษา ทำความเข้าใจ รู้ลึกรู้จริง ระดับ "แฟนพันธุ์แท้" อธิบายลำดับที่มาที่ไปได้หมด. ซึ่งก็เข้าใจว่าความสุขส่วนหนึ่งก็คือการได้ศึกษาทำความรู้จักของชิ้นนั้นฯ ข้อสังเกตเรื่องนึงที่น่าสนใจเกี่ยวกับนักสะสมตัวจริงคือ เขาตั้งใจซื้อของชิ้นนั้นๆ มาเพื่อเก็บ ไม่ได้เจตนาจะซื้อมาเพื่อขาย หรือซื้อมาปล่อย แต่ส่วนใหญ่เมื่อขายมักกำไรและกำไรไม่น้อยด้วย เรียกว่าตอนครอบครองก็มีความสุข ตอนขายก็มีกำไร แต่ที่ทำแบบนี้ได้เพราะนักสะสมตัวจริงซื้อของเป็น ไม่มีซื้อซี้ซั้ว และจะ "มองออก" ว่าของชิ้นนี้รับได้ที่ราคาเท่าไร จะไม่เคยซื้อของที่แพงเกินไป และรู้ว่าชิ้นนี้เก็บได้ยิ่งนานมูลค่ายิ่งเพิ่ม ไม่ใช่กลายเป็นแค่ของเก่าเก็บ. นักสะสมที่ดีมักซื้อของด้วย "เงินเย็น" ซื้อมาแล้วไม่ได้รู้สึกมีต้นทุนในการครอบครอง ซื้อได้ไม่เดือดร้อนอะไร นักสะสมมักมีฐานะในระดับนึงอยู่แล้ว หลายๆ คนร่ำรวยเป็นเศรษฐีขึ้นก็จากของสะสมของตัวเอง เหมือนเป็นแจ๊คพ๊อตชีวิตว่าเรื่องที่ชอบเรื่องที่สนใจทำเงินขึ้นมาได้. กลับมามองในตลาดหุ้นคุณสมบัตินักสะสมที่ว่ามานี้มีความคล้ายกับคุณสมบัติที่ดีของนักลงทุนอย่างน่าประหลาดใจ ไม่ว่าจะเรื่องความสนใจ การเอาใส่ใจในกิจการที่จะเข้าไปลงทุน รู้ลักษณะกิจการ ขั้นตอนการผลิต ลูกค้าคู้ค้า จุดเด่นจุดด้อย งบการเงิน ผู้ถือหุ้น ผู้บริหาร แผนในอนาคต เรียกว่ารู้ลึกรู้จริงไม่แพ้แฟนพันธุ์แท้เลย.และความรู้ลึกรู้จริงอธิบายลำดับที่มาที่ไปได้หมดแบบนี้นี่เอง ก็จะทำให้เขารู้ว่ากิจการดังกล่าวนี้ควรเข้าไปลงทุนหรือไม่ และนักลงทุนตัวจริง จะซื้อหุ้นของกิจการนั้นๆ มาเพื่อเก็บ ไม่ได้เจตนาจะซื้อมาเพื่อขาย หรือซื้อมาปล่อย แต่ในจังหวะที่ขายหุ้นก็มักกำไรและกำไรมหาศาล กำไร 5 เด้ง 10 เด้งไม่แปลก เรียกว่าตอนครอบครองก็ได้ร่วมเป็นเจ้าของกิจการที่ดีมีคุณภาพ และมักได้เงินปันผล ตอนขายก็ทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ ที่ทำแบบนี้ได้เพราะนักลงทุนตัวจริงซื้อหุ้นเป็น ไม่ใช่ใครว่าดีก็เอะอะขอซื้อด้วย และ "มองออก" ว่ามูลค่าที่เหมาะสมควรอยู่ที่เท่าไร จะไม่เคยซื้อหุ้นที่แพงไปแล้ว หนำซ้ำมักซื้อตอนที่ราคาหุ้นมีส่วนลด (Margin of safety) ด้วยและรู้ว่าแนวโน้มกิจการลักษณะนี้ถือหุ้นไปยิ่งนานมูลค่ายิ่งเติบโต ไม่ใช่แค่ซื้อซากกิจการมาถือ เช่นกันนักลงทุนที่ดีมักซื้อหุ้นด้วย "เงินเย็น" ซื้อแล้วรอได้ เพราะราคาหุ้นไม่ได้สะท้อนมูลค่าหรือสะท้อนศักยภาพของกิจการที่ควรเป็นทันทีเสมอไป ซื้อแล้วไม่เดือดร้อนอะไร นักลงทุนที่ลงทุนอย่าง "ถูกวิธี" ร่ำรวยเป็นเศรษฐีขึ้นมาทุกคน. มองภายนอกเหมือนชีวิตมีแต่ความโชคดี แต่จริงๆ จากฝีมือล้วนๆ เราควรเริ่มมองการลงทุนให้เป็นมากกว่าแค่การสร้างผลตอบแทนให้สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ ควรเริ่มมองการลงทุนเป็นการสะสมหุ้นของกิจการดีๆ เก็บไว้ในพอร์ทโฟลิโอ ให้คิดแบบนักสะสม เอาใจใส่รู้ลึกรู้จริงก่อนซื้อ ของดีจริงต้องซื้อเพื่อเก็บ ไม่ซื้อหุ้นที่แพงไปแล้ว ซื้อด้วยเงินเย็นและรอให้ได้. อย่าเป็นเพียง "คนเล่นหุ้น" พยายามอัปเกรดตัวเองขึ้นมาเป็นนักลงทุนตัวจริง. ถือหุ้นไว้ได้ก็ได้ปันผลไปเรื่อยๆ ขายหุ้นไปก็ได้กำไรก้อนโตครับ.