มีทฤษฎีอะไรที่เราจะใช้อธิบายสิ่งต่อไปนี้?
- หุ้นทำสถิติสูงสุดในขณะที่ชาวอเมริกัน 60% คิดว่าเศรษฐกิจของประเทศกำลังอยู่ในภาวะถดถอย
- ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศชอบการทำข้อตกลงด้านอาวุธนิวเคลียร์กับอิหร่านของประธานาธิบดี Obama แต่มีเพียงแค่หนึ่งในสามเท่านั้นที่คิดว่าดีลนี้จะประสบความสำเร็จ ซึ่งสถานะเช่นนี้ (ชอบแต่ก็ไม่เชื่อ) ถือเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมาก
- วลีประเภท “ทุกชีวิตมีความหมาย” และ “คนทุกคนสามารถประสบความสำเร็จได้ถ้าทำงานหนักมากพอ” กำลังเป็นคำพูดปลุกระดมของนักการเมืองปีกซ้าย
- ส่วนทางปีกขวา นักธุรกิจซึ่งเคยยื่นขอให้บริษัทของตนล้มละลายมาแล้วถึงสี่ครั้งได้ป่าวประกาศเป้าหมายที่จะชิงตำแหน่งผู้นำสูงสุดเพื่อนำพาประเทศสหรัฐอเมริกาไปสู่อนาคตที่ร่ำรวย โดยบอกว่าจะทำให้ประเทศอเมริการกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง และคะแนนนิยมของเขาก็นำลิ่ว
นับว่าเป็นช่วงเวลาที่บ้าคลั่งในอเมริกา
แล้วมันมีทฤษฎีอะไรที่จะมาอธิบายสิ่งที่เกิดอยู่นี้ได้ล่ะ? ลองฟังทฤษฎีของผมดูนะ ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องของอัตราการขยายตัวของผลิตภาพที่ลดลงอย่างมาก ซึ่งทำให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจชะลอตัว และส่งผลให้ประเทศอเมริกาเหมือนกับกำลังตายอย่างช้าๆ จากความหวังที่พังทลาย และความหงุดหงิดรำคาญที่ถาโถมเข้ามา
ผลิตภาพที่ลดลงของประเทศอเมริกาเป็นความจริงที่เกิดขึ้น โดยอัตราการเติบโตของผลิตภาพต่อปีเป็นดังนี้
- 1948-2014: 2.4%
- 2002-2014: 2.0%
- 2010-2014: 1.2%
ทีนี้ เศรษฐกิจไม่โตก็ทำให้ผู้คนหันมาตั้งแง่ใส่กัน โดยการเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น แล้วก็เกิดความอิจฉา และเริ่มเชื่อว่าพวกคนที่ประสบความสำเร็จจะต้องฉกชิงไปจากคนอื่นๆ ที่เหลือ พวกเขาตกเป็นเหยื่อของทฤษฎีทางการเมืองแบบหวาดระแวง และนักการเมืองสติแตก
การเติบโตเป็นวงจรของความดีงาม
ในเศรษฐกิจที่กำลังขยายตัวสิ่งที่เกิดขึ้นจะต่างออกไป ผู้คนยังคงเปรียบเทียบอยู่ดี แต่จะเป็นการเปรียบเทียบกับตัวเองในอนาคต โดยพวกเขาจะมองไปข้างหน้าอย่างมีความหวัง พวกเขาจะเริ่มต้นธุรกิจ หรือจ้างงานเพิ่มก่อนที่อุปสงค์จะเกิดขึ้น และนั่นจะเป็นปัจจัยที่ช่วยสร้างอุปสงค์
อันที่จริงก็ยังมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับผลิตภาพที่ลดลงของสหรัฐ ว่ามันไม่ใช่เรื่องของการที่ผลิตภาพโตน้อยหรือไม่โต แต่ประเด็นคือมันแสดงถึงข้อมูลที่มีคุณค่าความหมายหรือเปล่า Hal Varian ซึ่งเป็นหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Google บอกว่าเทคโนโลยีช่วยประหยัดเวลา ลดการใช้แรงงาน และทำให้ราคาสินค้าถูกลง ซึ่งเทคโนโลยีถือเป็นสินค้าสาธารณะแม้ว่าจะไม่ช่วยเพิ่มตัวเลขผลิตภาพในรูปแบบเดิมๆ ก็ตาม
แต่ก็มีนักเศรษฐศาสตร์รายอื่นที่เห็นว่าการที่ผลิตภาพโดยรวมไม่โตในอีกด้านหนึ่งแสดงถึงความแตกต่างของผู้ที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์จากเทคโนโลยี นั่นคือถ้าคุณรู้ว่าจะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อกระตุ้นยอดขายได้อย่างไร และคุณขยับตัวเร็วกว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่าคุณก็จะมีผลิตภาพเพิ่มขึ้น แต่หลายๆ คนและหลายๆ บริษัทไม่รู้เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปเร็วมากและทำให้เรางงกับมัน และพอเราทำความเข้าใจกับมันได้สำเร็จพวกที่ใช้เทคโนโลยีเพิ่มผลิตภาพได้สำเร็จก็ขยับไปต่อแล้ว
การต่อสู้ของ Uber ใน Paris New York และมหานครอื่นๆ ทั่วโลกแสดงให้เห็นภาพของผู้ที่สามารถได้ประโยชน์จากการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มผลิตภาพและผู้ที่เสียประโยชน์ การที่ Uber ใช้ประโยชน์จากรถที่บริษัทไม่ได้เป็นเจ้าของ ใช้คนขับรถที่ทำงานแบบผู้รับจ้างอิสระ ทำให้ Uber สามารถทำกำไรได้มากกว่าบริษัทแท็กซี่ หรือบริษัทลิมูซีน จนถึงขั้นที่บริษัทแท็กซี่และบริษัทลิมูซีนหาว่า Uber โกง ซึ่งถึงตอนนี้ผู้เข้าแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีต้องแสดงจุดยืนเรื่อง Uber ของตัวเองให้ชัดเจน
สิ่งที่ควรจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในทางการเมืองก็คือการหารือถึงวิธีที่จะเพิ่มผลิตภาพโดยรวม ซึ่งการปรับอัตราภาษีและระบบการจัดเก็บภาษีให้มีลักษณะแบนราบและเรียบง่ายมากขึ้นน่าจะมีส่วนช่วย ในขณะที่การลดและทำให้กฎเกณฑ์สำหรับการดำเนินธุรกิจอย่างเช่นธนาคารขนาดเล็กซึ่งไม่ได้ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจก็น่าจะมีส่วนช่วยเช่นกัน มาตรการทั้งสองนี้จะช่วยปลดภาระของผู้ประกอบการที่ต้องปฏิบัติตามเกณฑ์ที่เข้มงวด ซึ่งจะช่วยให้มีการก่อตั้งธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้การให้การศึกษาที่ดีขึ้นและใช้การได้จริงมากขึ้นแก่เยาวชนก็มีส่วนช่วยเหมือนกันแต่การคิดแบบหวาดระแวงและบรรดานักการเมืองสติแตกไม่ได้ช่วยให้ผลิตภาพเพิ่มขึ้นหรอกนะ
RICH KARLGAARD
ผู้พิมพ์โฆษณาของ Forbes
อ่านบทความเพื่อเติมไฟฝันทางด้านธุรกิจกับ Forbes Thailand ทุกเดือน และในรูปแบบ E-Magazine