"นู สกิน" ทุ่มงบกว่า 500 ล้านเหรียญฯ เดินหน้าสู่บริษัทความงามและสุขภาพครบวงจรระดับโลก - Forbes Thailand

"นู สกิน" ทุ่มงบกว่า 500 ล้านเหรียญฯ เดินหน้าสู่บริษัทความงามและสุขภาพครบวงจรระดับโลก

PR / PR NEWS
31 Aug 2022 | 05:05 PM
READ 2038

"นู สกิน" ประกาศวิสัยทัศน์ภายในปี 2025 ในการก้าวขึ้นเป็นบริษัทชั้นนำของโลกด้านความงามและสุขภาพแบบครบวงจรที่ขับเคลื่อนด้วยแพลตฟอร์มเพื่อโอกาสทางธุรกิจ ซึ่งนำมาสู่การลงทุนในเทคโนโลยีต่างๆ พร้อมทุ่มเงินกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ

   
    ล่าสุด นู สกิน ได้ประกาศวิสัยทัศน์ภายในปี 2025 ในการก้าวขึ้นเป็นบริษัทชั้นนำของโลกด้านความงามและสุขภาพแบบครบวงจรที่ขับเคลื่อนด้วยแพลตฟอร์มเพื่อโอกาสทางธุรกิจ ซึ่งนำมาสู่การลงทุนในเทคโนโลยีต่างๆ โดย นู สกิน ทุ่มเงินกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อรองรับวิสัยทัศน์นี้

    

ภคพรรณ ลีวุฒินันท์ ประธาน นู สกิน ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแปซิฟิค เล่าให้ฟังถึงวิสัยทัศน์นี้ และการก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์ที่ครองใจลูกค้าและตอบโจทย์การทำธุรกิจของพาร์ตเนอร์ว่า

    “ใน นู สกิน เราไม่เคยหยุดพัฒนาเพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำ ไปพร้อมกับเทรนด์โลกต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นเทรนด์การสั่งซื้อแบบต่อเนื่อง (subscription) ที่เติบโตมากถึง 6 เท่าในช่วง 9 ปีที่ผ่านมาโดยคาดว่าจะมีมูลค่าถึง 1.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2025 เทรนด์การค้าขายทางโซเชียลมีเดีย (Social Commerce) ที่คาดว่าจะมีมูลค่ากว่า 3.4 ล้านล้านเหรียญ ภายในปี 2028 ซึ่งเติบโตถึง 7 เท่า ในอีก 7 ปีข้างหน้า

    เทรนด์การใช้อุปกรณ์เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต (IoT device) ที่มีมูลค่าคาดการณ์กว่า 1.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2025หรือแม้แต่เทรนด์ที่มาแรงมากอย่างสินค้าที่มีความเฉพาะบุคคล (Personalization) ซึ่งจากการวิจัยพบว่า 77% ของผู้บริโภคจะเลือกซื้อและบอกต่อสินค้ากลุ่มนี้จากแบรนด์ที่สามารถมอบประสบการณ์เฉพาะบุคคลได้ เทรนด์เหล่านี้นำไปสู่วิสัยทัศน์ครั้งสำคัญของ นู สกิน”

    “เราลงทุนมหาศาลเพื่อสร้างแพลตฟอร์มดิจิตัลที่เชื่อมต่อและเชื่อมโยง ผู้บริโภค ลูกค้า และพาร์ทเนอร์ผู้ทำธุรกิจของเราทั้งในด้านไลฟ์สไตล์ ผลิตภัณฑ์ และธุรกิจแบบครบวงจร เป็นที่มาของกลยุทธ์ EMPOWER ME ที่นำเสนอผ่านผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ๆ และโอกาสทางธุรกิจที่เหนือชั้นด้วยแผนปันผลที่มีความยืดหยุ่นและคุ้มค่า เพื่อช่วยให้ผู้คนค้นพบตัวตนที่ดีที่สุด เรามั่นใจว่ากลยุทธ์ที่น่าตื่นเต้นนี้ของ นู สกิน พร้อมรองรับเมะเทรนด์ต่างๆ ของผู้บริโภคทั่วโลก และช่วยให้ผู้คนสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเวลา” วิกกี้ กล่าวเพิ่มเติม


    ด้าน วิภาดา ตั้งปกรณ์ ผู้จัดการทั่วไป นู สกิน ประเทศไทย อธิบายเพิ่มเติมว่า “ในปีนี้ ในประเทศไทย เราจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์กลุ่มแรกในกลุยทธ์นี้ นั่นคือ เอจล็อค ลูมิสปา ไอโอ (ageLOC Lumispa iO) ซึ่งเป็นบิวตี้แกดเจ็ตทำความสะอาดผิวหน้าที่มีนวัตกรรมเฉพาะ พร้อมเซนเซอร์ที่คอยแนะนำการใช้งานอย่างชาญฉลาดเกี่ยวกับแรงกด

    การเคลื่อนที่ที่เหมาะสมของตัวเครื่อง และการใช้งานในแต่ละส่วนของใบหน้าทั้งยังเชื่อมต่อแบบ IoT กับแอปพลิเคชันที่ชื่อ VERA ควบคุมการทำงานผ่านมือถือ ที่สำคัญคือ ผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าการปรนนิบัติผิวในแบบของตัวเองได้ แถมแอปจะช่วยจดจำการใช้งาน ถ่ายรูปหลังใช้ และแชร์ทางโซเชียลมีเดียได้

    มากไปกว่านั้น VERA ยังมีฟังก์ชันการถ่ายรูปเพื่อประเมินสภาพผิว พร้อมแนะนำผลิตภัณฑ์ด้วยระบบ AI อีกด้วย นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของผลิตภัณฑ์สุดล้ำที่เชื่อมต่อและตอบโจทย์เทรนด์ผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน”และเสริมว่า “ นู สกิน ยังได้รับการยอมรับว่าเป็นแบรนด์ที่มีมียอดขายบิวตี้แกดเจ็ตอันดับ 1 ของโลกจากการสำรวจของยูโรมอนิเตอร์ 5 และเรายังมีเทคโนโลยี เอจล็อค เอกสิทธิ์หนึ่งเดียวของ นู สกิน ที่วิจัยถึงการแสดงของยีน นำไปสู่ผลิตภัณฑ์คุณภาพมากมาย ซึ่งเฉพาะภายใต้แบรนด์ เอจล็อค ก็มียอดขายมูลค่ารวมมากกว่า 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐจากทั่วโลก ตั้งแต่ปี 2008”


    “นอกจากนี้ นู สกิน ยังพัฒนาและเปิดตัวเครื่องมือดิจิตัลอีกมายมาย อย่าง Stela และ Nu Skin Connect ที่ช่วยพาร์ทเนอร์ของเราในการทำธุรกิจ และแอป ageLOC TR90 ที่ช่วยลูกค้าของเราควบคุมน้ำหนัก ดูแลรูปร่างอย่างมีประสิทธิภาพ มากไปกว่านั้นคือ การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมาพร้อมการการจำหน่ายหมดอย่างรวดเร็วในรอบพรีวิว

    อาทิ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร รีเซต ที่ช่วยส่งเสริมกระบวนการจัดการสารอาหารภายในหลอดเลือดและล่าสุดกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอย่าง คอลลาเจน พลัส รูปแบบหนึ่งเดียว ที่ทรงประสิทธิภาพในการกระตุ้นสร้างคอลลาเจน ให้ดูดีจากภายในสู่ภายนอก และทรงพลังมากขึ้น เมื่อใช้ร่วมกับ เอจล็อค ลูมิสปา ไอโอ ซึ่งมีผลการวิจัยทางคลินิกรองรับในด้านผลลัพธ์ที่ชัดเจนอีกด้วย” วิภาดา กล่าว

    “นู สกิน ดำเนินธุรกิจอยู่บนรากฐานของพันธกิจในการเป็นพลังแห่งความดี เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คน ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพ โอกาสการทำธุรกิจ รวมถึงวัฒนธรรมการช่วยเหลือกัน ซึ่งเรายังให้ความสำคัญกับการคืนสู่สังคมอย่างต่อเนื่อง ผ่านโครงการสนับสนุนมูลนิธิผ่าตัดหัวใจเด็กที่พิการแต่กำเนิดในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Nu Skin SEA Children’s Heart Fund) ที่ริเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 1999

    จนในปัจจุบันเราสามารถช่วยให้เด็กรอดชีวิตไปแล้วมากกว่า 14,000 ราย นอกจากนี้ เรายังให้ความสำคัญกับโลกและสิ่งแวดล้อมผ่านโครงการด้าน Sustainability มากมาย ตลอดจนการเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์ให้เป็นวัสดุที่นำไปรีไซเคิลและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยตั้งเป้าเปลี่ยนให้ครบทุกผลิตภัณฑ์ภายในปี 2030” วิกกี้ กล่าวทิ้งท้าย

อ่านเพิ่มเติม:  88 SANDBOX แพลตฟอร์มปั้นสตาร์ทอัพไทยสู่ตลาดโลก


ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine