ทายาทผู้สานต่อธุรกิจครอบครัว ปั้นส่งออกอาหาร ไปไกลถึงทั่วโลก - Forbes Thailand

ทายาทผู้สานต่อธุรกิจครอบครัว ปั้นส่งออกอาหาร ไปไกลถึงทั่วโลก

เรื่อง: ชญานิจฉ์ ดาศรี ภาพ: เอกพล ภารุณ

ภายในอาคารโรงงานบรรจุข้าวสารหอมมะลิขนาดพื้นที่ 6 ไร่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมเมืองใหม่บางพลี เป็นจุดเริ่มครั้งสำคัญของ บริษัท วุฒิชัยโปรดิวส์ จำกัด ที่จะขยายสู่ธุรกิจส่งออกอาหารที่ครอบคลุมไปถึงสินค้าประเภทกับข้าว ภายใต้การดำเนินงานของบริษัทในเครือชื่อ บริษัท โกลเบิลฟูดเทรดดิ้ง จำกัด แล้วขยายไลน์สินค้าไปยังสินค้าอย่างใบตองและใบเตยสด ฯลฯ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคจากเอเชียที่ย้ายไปตั้งรกรากอยู่ในภูมิภาคอื่นๆ 

ปัจจุบันธุรกิจส่งออกอาหารนับเป็นฐานรายได้หลักของ กลุ่มบริษัทวุฒิชัย ที่ขณะนี้มีทายาทรุ่นสามวัย 42 ปี คือ อุกฤษฏ์ อธิพันธุ์อำไพ ผู้จัดการทั่วไป และญาติผู้น้องวัย 30 ปีคือ นงนุช อธิพันธุ์อำไพ ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท โกลเบิลฟูดเทรดดิ้ง จำกัด เป็นผู้กุมบังเหียนหลักในการต่อยอดธุรกิจส่งออกอาหารให้เจริญรุดหน้า นอกเหนือจากทายาทรุ่นสามอีก 14 คนที่มาสืบทอดกิจการต่อจากรุ่นพ่อ

กว่าจะเป็นธุรกิจครอบครัวที่สร้างรายได้รวมราว 4.6 พันล้านเมื่อปี 2557 นั้น เรื่องราวชีวิตจากคำต่อคำจาก อุกฤษฏ์ อธิพันธุ์อำไพ ทายาทรุ่นสาม ตั้งแต่รุ่นแรกของครอบครัวที่เดินจากประเทศจีนที่มานะสะสมทรัพย์เปิดกิจการโรงงานทำทองรูปพรรณ ซึ่งธุรกิจดังกล่าวสร้างหนี้สินให้รุ่น 2 วุฒิชัย ผู้เป็นบิดาตัดสินใจหยุดเรียนแล้วมาช่วยทำงานหาเงินล้างหนี้ให้ครอบครัว “หนี้สินเหล่านี้เกิดจากการกู้เงินมาลงทุน แต่ทำธุรกิจผิดพลาดจนมีรายได้ไม่พอใช้หนี้” อุกฤษฏ์ เล่าย้อนอดีตถึงจุดเปลี่ยนสำคัญต่อว่า ภาระหนี้ดังกล่าวทำให้เกิดความคิดในการนำทองรูปพรรณเข้าไปขายใน สปป.ลาว กัมพูชา เวียดนาม และเมียนมาร์
 
เพื่อให้ธุรกิจครอบครัวเป็นปึกแผ่นขึ้น ทายาทรุ่นสองที่มีวุฒิชัย เป็นแกนนำ ตัดสินใจนำเข้าไม้แปรรูปจาก สปป.ลาวมาขายในเมืองไทยและเป็นจุดริเริ่มของธุรกิจวัสดุก่อสร้างในเครือ เมื่อธุรกิจดำเนินไปได้ระยะหนึ่ง ได้ขยายสู่ธุรกิจเทรดเดอร์ค้าเหล็ก ก่อนเปลี่ยนผ่านไปยังการนำเข้าไม้อัดมาจำหน่ายในไทยและขยายสินค้าสู่วัสดุก่อสร้างอื่นๆ รวมไปถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
 
แม้การต่อยอดไม่หยุดการสืบสานธุรกิจ แต่ธุรกิจหลักซึ่งเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของครอบครัวในปัจจุบันซึ่งครองอัตราส่วน 60% ของฐานรายได้ทั้งกลุ่มคือการส่งออกอาหาร โดยเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2520 เมื่อ บริษัท วุฒิชัยโปรดิวส์ เริ่มต้นการส่งข้าวไปขายแก่ผู้อพยพที่หนีภัยการเมืองจากประเทศเพื่อนบ้านไปสร้างชีวิตใหม่ในต่างแดน ซึ่งคนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่อยากรับประทานอาหารดั้งเดิมและต้องการหาอาชีพทำ
 
“เมื่อขายข้าวมาได้เกือบ 15 ปีลูกค้าเราก็บอกว่าเมื่อซื้อข้าวแล้วก็อยากซื้อกับข้าวด้วย แต่ตอนนั้นคนเราไม่พอเพราะรุ่นสองก็มีเพียงไม่กี่คน จึงต้องรอรุ่นสามกลับมาช่วยธุรกิจครอบครัวจึงเริ่มส่งออกอาหารประเภทอื่นๆ ไปยังตลาดต่างประเทศเพิ่มเมื่อปี 2545” อุกฤษฏ์ เล่าถึงที่มาของการเติบโตด้านธุรกิจส่งออกอาหารในยุคปัจจุบัน ที่มี บริษัท โกลเบิลฟูดเทรดดิ้ง จำกัด ซึ่งตัวเขาและ นงนุช อธิพันธุ์อำไพ น้องสาว ที่จบปริญญาเอกด้านวิทยาศาสาตร์การอาหาร เป็นแม่งานหลัก
 
เมื่อเริ่มธุรกิจส่งออกอาหารได้สักพัก จึงตัดสินใจทำโรงงานผลิตสินค้าของตัวเองขึ้นภายใต้ บริษัท โอชาฟูดแพ็ค  จำกัด ในปี 2550 เพื่อมุ่งเน้นผลิตผักและผลไม้แช่แข็งส่งออกไปขายยังตลาดต่างประเทศ ซึ่งมีตลาดออสเตรเลียและสหรัฐฯ เป็นกลุ่มประเทศสำคัญ แม้ข้าวหอมมะลิมีสัดส่วนถึง 70% ของรายได้จากธุรกิจส่งออกอาหารทั้งหมด แต่ความผลิตภัณฑ์ภายใต้ โอชาฟูดแพ็ค กลับมีความสนุกและมีผลิตภัณฑ์เด่นที่น่าสนใจ
 
นงนุชเล่าถึงหนึ่งในโครงการปรับปรุงขบวนการผลิตเพื่อให้ใช้เวลาในการผลิตสินค้าเด่น 1 ใน 3 ที่ส่งออกมากที่สุด คือ “ใบตองแช่แข็ง” แม้ตลาดจะมีความต้องการสูงแต่บริษัทก็เกือบจะยกเลิกการผลิตเนื่องจากกำไรที่น้อยและการใช้แรงงานคนสูง ด้วยเหตุนี้จึงนำทฤษฎีการผลิตแบบลีน (lean production) หรือการผลิตที่ลดความสูญเสียให้ได้มากที่สุดเพื่อประหยัดเวลาได้มากขึ้น มาใช้จนสามารถยกเครื่องการผลิตใบตองแช่แข็งให้กลับมามีกำไร

“งานที่ โอชาฯ สนุกเพราะเป็นบริษัทใหม่ เป็นโอกาสให้เราปรับปรุงอะไรได้อีกมาก เพราะเราได้รับโจทย์ว่าต้องการ growth ให้มากขึ้นจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ และลดต้นทุนการผลิตเพื่อให้สินค้าบางประเภทมีกำไรมากขึ้น” นงนุช กล่าว

ข้อดีในฐานะทายาทผู้สืบต่อธุรกิจจากรุ่นก่อนคือประสบการณ์และแนวทางการบริหารธุรกิจเพื่อความยั่งยืนอย่างแท้จริง นงนุช ทายาทรุ่น 3 เล่าถึงส่วนหนึ่งที่ทำให้ธุรกิจครอบครัวไม่ต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตหนักๆ เพราะยึดแนวทางอนุรักษ์นิยมที่ไม่ขยายธุรกิจจนเกินกำลัง “เราถูกสอนมาตั้งแต่เด็กว่า ธุรกิจของเราไม่จำเป็นต้องเติบโตแบบก้าวกระโดด แต่ขอให้ทุกย่างก้าวเป็นไปอย่างมั่นคง โดยต้องสร้างรากฐานให้แน่นก่อน แล้วค่อยต่อยอด”

อุกฤษฏ์ กล่าวเสริมว่า ไม่เพียงแต่จะต้องมาเสี่ยงมากในแง่ของบริษัทแล้ว ในแง่บุคคลนั้นก็ยังฝากให้ทายาทรุ่นสามยึดมั่นใน 3 เรื่อง คือ 1. ต้องมีคุณภาพในตัวเอง นั่นคือมีพื้นฐานการศึกษาดีกว่ารุ่นก่อน และมีสุขภาพทั้งกายและใจแข็งแรงเพื่อที่จะต่อสู้อดทนทำงานหนัก 2. ต้องมีคุณธรรม หรือต้องรู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี และ 3. ต้องมีจริยธรรม ซึ่งคืออย่าทำสิ่งไม่ดี แม้ว่าจะไม่มีใครรู้เห็น “สามข้อนี้คือสิ่งที่ยึดถือกันมาตั้งแต่รุ่นอากง ซึ่งทำให้ธุรกิจเติบโตจนสั่งสม wealth มาได้จนถึงทุกวันนี้”
 
สำหรับอนาคตภายในระยะเวลา 3 ปีนี้ กลุ่มบริษัทวุฒิชัย จะมุ่งเน้นการปรับโครงสร้างการเงินให้เหมาะสมและชัดเจนสำหรับทุกกลุ่มธุรกิจ เพื่อให้เพียงพอแก่การเติบโตในอีก 3 ปีข้างหน้า สำหรับเป้าหมายอนาคตข้างหน้านั้นกลุ่มวุฒิชัยมุ่งขยายการเติบโตเฉลี่ยที่ 10% ในทุกกลุ่มธุรกิจตลอด 3 ปีข้างหน้า เพื่อให้มียอดขายแตะที่ราว 5.8 พันล้านบาทในปี 2560

คลิ๊กอ่าน "ทายาทผู้สานต่อธุรกิจครอบครัว ปั้นส่งออกอาหาร ไปไกลถึงทั่วโลก" ฉบับเต็มได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ OCTOBER 2015