"ซิกนิฟาย" (Signify) ผู้นำธุรกิจระบบไฟและอุปกรณ์แสงสว่างระดับโลกแบรนด์ฟิลิปส์ ชูพันธกิจ “Brighter Lives, Better World” นำเข้าเทคโนโลยียูวีซีในหลากหลายผลิตภัณฑ์ในตลาดเมืองไทย ตอบโจทย์การป้องกันและรับมือกับโควิด
จาร์กันนาธาน ศรีนิวาสัน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิกนิฟาย คอมเมอร์เชียล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ซิกนิฟาย เป็นผู้นำธุรกิจระบบไฟ หลอดไฟและอุปกรณ์แสงสว่างระดับโลก มีเจตนารมณ์ที่ชัดเจนในการดำเนินธุรกิจเพื่อให้เกิดความยั่งยืนและสร้างคุณค่าแก่สังคมโลก ภายใต้แนวทาง “เราต้องการปลดล็อกศักยภาพพิเศษของแสงไฟ เพื่อชีวิตที่สดใสและโลกที่น่าอยู่กว่าเดิม” (Unlock the extraordinary potential of light for brighter lives and a better world) จาร์กันนาธาน กล่าวต่อว่า จากเทรนด์ของโลกซึ่งมีผลกระทบด้านความยั่งยืน พบว่า พลังงานที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ร้อยละ 60 เป็นสาเหตุของการเกิดก๊าซเรือนกระจก มีเพียง 19 เมืองเท่านั้นที่ตั้งเป้าใช้พลังงานคาร์บอนเป็นศูนย์ นอกจากนี้จะพบว่า มีเพียงร้อยละ 9 เท่านั้นมีการใช้เศรษฐกิจหมุนเวียน หรือประมาณ 200 บริษัทใหญ่ๆ ทั่วโลก ซึ่งซิกนิฟายก็เป็นหนึ่งในนั้น นอกจากนี้ในปี 2018 พบว่า มีถึงร้อยละ 25 ของโลกที่ประสบกับปัญหาความไม่มั่นคงทางด้านอาหาร ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะมีความต้องการอาหารเพิ่มขึ้นร้อยละ 70 ในปี 2035 หรือหากมองในด้านสุขภาพ ในปี 2050 ประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จะมีสูงถึงร้อยละ 22 ของประชากรโลกทั้งหมด ซึ่ง 2 ปีที่ผ่านมามีการใช้จ่ายด้านสุขภาพสูงถึง 4.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ยอดการผลิตแสงสว่างเพื่อสุขภาพสูงขึ้นถึงร้อยละ 16 และในด้านความปลอดภัย มีแนวโน้มว่าในปี 2050 จะมีประชากรอาศัยในเมืองสูงถึงร้อยละ 70 โดยมีคาดการณ์ว่าภายในปี 2030 จะมีประมาณ 60 ประเทศที่ถนนกว่าครึ่งหนึ่งในประเทศมีความไม่ปลอดภัย การเพิ่มแสงสว่างมีผลต่อทัศนวิสัย และช่วยลดอุบัติเหตุได้ จาร์กันนาธาน กล่าวต่อว่า ด้วยแนวโน้มของโลกดังกล่าว ซิกนิฟายจึงกำหนดพันธกิจ “เพื่อชีวิตที่สดใสและโลกที่น่าอยู่กว่าเดิม” (Brighter lives, Better world) เพื่อขับเคลื่อนสังคมโลกไปสู่ความยั่งยืน โดยโฟกัสที่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (United Nations Sustainable Development Goals, UN SDGs) 5 เป้าหมาย ซึ่งในปี 2021 ได้ตั้งเป้าผลการดำเนินงานที่สอดคล้องกับ SDGs เพื่อให้เกิดความยั่งยืนที่แท้จริงควบคู่กับกลยุทธ์นวัตกรรมเป็นศูนย์กลาง ซึ่งประกอบด้วย เป้าหมายการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate action) โดยมุ่งเน้นสินค้ากลุ่มแอลอีดี 2 พันล้านชิ้น และโซลาร์เซลล์ที่ช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้า เป้าหมายหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ตั้งเป้าหยุดการใช้พลาสติก เลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการนำพลาสติกใช้แล้วกลับมาผลิตใหม่เป็นโคมไฟด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์แบบสามมิติ เป้าหมายด้านการเข้าถึงอาหาร (Food availability) พัฒนาผลิตภัณฑ์แสงสว่างที่ช่วยเพิ่มคุณภาพผลผลิต ลดการสูญเสียในกระบวนการผลิต สำหรับเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์และการเพาะปลูกพืชผัก โดยมุ่งเน้นเทคโนโลยีเพื่อการทำฟาร์มแนวตั้ง และการเพาะเลี้ยงสัตว์ เป้าหมายด้านความปลอดภัย (Safety & Security) เพิ่มความปลอดภัยให้เมืองใหญ่ด้วยระบบแสงส่องสว่างอัจฉริยะตามท้องถนน นอกจากนี้ซิกนิฟายยังเป็นผู้นำเทคโนโลยีไลไฟ (Lifi) ที่มีความเสถียรและปลอดภัย เป้าหมายด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (Health & Wealth being) ซึ่งมีทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์กลุ่มยูวีซี เพื่อตอบสนองความต้องการคนทั่วโลกจากการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตลอดจนฟิลิปส์ ฮิว และฟิลิปส์ วิช ระบบไฟสำหรับสมาร์ทโฮมเพื่อตอบรับการใช้ชัวิตที่สะดวกสบายในบ้านมากกว่าที่เคย และผลิตภัณฑ์หลอดไฟถนอมสายตา สำหรับความสำเร็จในปี 2020 ที่ผ่านมา จาร์กันนาธาน ได้กล่าวว่า ด้านความยั่งยืน ซิกนิฟายได้บรรลุเป้าหมายที่ได้วางไว้ โดยขณะนี้เราสามารถชดเชยคาร์บอนเป็นศูนย์ (100% Carbon Neutral) และเปลี่ยนไฟฟ้าเป็นพลังงานหมุนเวียนได้ 100 เปอร์เซ็นต์ สามารถทำรายได้ด้านความยั่งยืน (Sustainable) ร้อยละ 84.1 จากที่เป้าหมายไว้ร้อยละ 80 นอกจากนี้ เราได้ตั้งเป้าไว้ว่าภายในปี 2025 จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Action) จากร้อยละ 58 เป็น ร้อยละ 72 เพิ่มรายได้จากการหมุนเวียนทรัพยากรเป็นร้อยละ 32 และเพิ่มรายได้ด้านยกระดับคุณภาพชีวิต เป็นร้อยละ 32 และช่วยเหลือผู้คนทั่วโลกกว่า 10 ล้านชีวิต ผ่านมูลนิธิซิกนิฟายสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นต้น ซึ่งถือเป็นนโยบายของซิกนิฟายระดับโกลบอล ที่คาดหวังว่าจะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ซิกนิฟาย ประเทศไทย ตั้งเป้านำเทคโนโลยีตอบโจทย์หลากหลาย ด้าน ซิกนิฟาย ประเทศไทย ให้ความสำคัญด้านความยั่งยืนตามแนวทาง UN SDGs ไม่ต่างกัน โดยเฉพาะในสถานการณ์ การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ผู้บริโภคหันมาใส่ใจสุขภาพและความปลอดภัย รวมถึงมีความต้องการ มุมมองต่อสังคมโลก และสิ่งแวดล้อมในทางที่ดีมากขึ้น ซิกนิฟายในประเทศไทยจึงวางแนวทางการดำเนินงานที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย โดยไฮไลต์ในปีนี้ แบ่งเป็น 5 กลุ่มหลักๆ ได้แก่ กลุ่มสุขภาพ ซิกนิฟายได้วิจัยและพัฒนาสินค้าในกลุ่มยูวีซี เพื่อช่วยลดผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 รวมทั้งยับยั้งเชื้อโรค แบคทีเรีย และเชื้อไวรัสอื่นๆ กลุ่มสมาร์ทโฮม ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคกลุ่มไฮเอนท์สอดรับการทำงานเวิร์คฟอร์มโฮม ไม่ว่าจะเป็น ฟิลิปส์ ฮิว (Philips Hue), วิซ (WiZ Connected) และหลอดไฟฟิลิปส์ถนอมสายตา (Philips Eye Comfort LED Bulb) กลุ่มเทคโนโลยีล้ำอนาคตในยุคไอโอที ทั้งเทคโนโลยีไลไฟ (แบรนด์ Trulifi) การรับส่งข้อมูลด้วยแสงที่มีความปลอดภัยสูง และอินเตอร์แอ็ค (แบรนด์ Interact) แพลตฟอร์มไอโอทีเชื่อมโยงแสงสว่างเข้ากับระบบการจัดการ สะดวกในการใช้งาน และประหยัดพลังงาน กลุ่มเทคโนโลยีแสงสว่างสำหรับเกษตรกร ผู้เลี้ยงไก่ และสุกร (แบรนด์ Once) และการเพาะปลูกพืชผักผลไม้ (แบรนด์ Philips) เพื่อเพิ่มผลผลิต เพิ่มคุณภาพสินค้า ลดอัตราสูญเสียผลิตผล และสุดท้าย กลุ่มพลังงานและความยั่งยืน สินค้าประเภทโซลาร์เซลล์ (Philips Solar Cell) โคมไฟใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ และสินค้าโคมไฟทรีดี ปริ้นติ้ง (3D printing) ที่นำพลาสติกใช้แล้วมาผลิตโคมไฟรักษ์โลก เป็นต้น จาร์กันนาธาน กล่าวถึงจุดแข็งของซิกนิฟาย ประเทศไทยว่า "แม้ในยามวิกฤติโควิด-19 แต่ก็ยังสามารถอยู่ในลำดับต้นๆ ของไทย เพราะแบรนด์ฟิลิปส์ภายใต้ซิกนิฟายมีความเข้มแข็งและมีประวัติยาวนานถึง 129 ปี เป็นบริษัทหลอดไฟและอุปกรณ์ส่องสว่างแถวหน้าในประเทศไทย" นอกจากนี้มีการลงทุนในเรื่องการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีอย่างไม่หยุดนิ่ง จึงทำให้บริษัทมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายตอบโจทย์ของผู้บริโภคได้ตรงกับความต้องการที่แตกต่างกัน ซิกนิฟายจึงสามารถก้าวผ่านมาวิกฤตต่างๆ มาได้อย่างมั่นคง ในปี 2563 ซิกนิฟายมียอดขายทั่วโลกประมาณ 6,500 ล้านยูโร (7.9 พันล้านเหรียญฯ) ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 12.7 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก ส่งผลให้จำหน่ายหลอดไฟแอลอีดี และโคมไฟได้ 2,900 ล้านชิ้น โดยมียอดขายหลอดไฟแอลอีดี คิดเป็นร้อยละ 80 ของยอดขายทั้งหมด ปัจจุบันมีพนักงาน 38,000 คน ใน 74 ประเทศทั่วโลก อ่านเพิ่มเติม: “สยาม คานาเดี่ยน กรุ๊ป” เปิดตัว “ฟู้ดดีฮับ” ส่งอาหารแช่แข็งถึงบ้านไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine