จัดฐานลงทุนครึ่งปีหลัง ทุกอย่างเป็นตามคาด - Forbes Thailand

จัดฐานลงทุนครึ่งปีหลัง ทุกอย่างเป็นตามคาด

FORBES THAILAND / ADMIN
22 Sep 2014 | 03:03 PM
READ 3895
ในบทความของผมเรื่อง "ทำอย่างไรให้ทรัพย์สินงอกเงยในปี 2557" เมื่อเดือนมกราคม ผมได้คาดการณ์ภาวะทางเศรษฐกิจเพื่อการลงทุนในปี 2557 เอาไว้ 
 
เราลองมาดูกันว่าถึงตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้างแล้ว
 
ประการแรก และสำคัญที่สุด คือผมได้เตือนไว้แล้วว่าวิกฤติการเงินในยุโรปยังไม่จบ
 
และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง เห็นได้จากภาวะเงินฝืดในยุโรป ในขณะที่การว่างงานก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมากถึงขนาดที่อัตราการว่างงานของคนหนุ่มสาวยุโรป (อายุ 25 ปีหรือต่ำกว่า) สูงถึงกว่า 60% 
 
ยิ่งไปกว่านั้น ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังตัดสินใจใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ -0.10% หมายความว่าถ้าธนาคารในยุโรปฝากเงินยูโรเอาไว้ที่ ECB แทนที่จะได้ดอกเบี้ยกลับต้องถูกเก็บค่าฝากเงินในอัตรา 0.10%เพื่อให้ธนาคารต่างๆ หยุดกักสภาพคล่อง และปล่อยเงินกู้เข้าสู่ระบบแทน
 
แล้วมันจะได้ผลไหม? ผมคิดว่าไม่ และยุโรปคงต้องผจญกับปัญหาเงินฝืดต่อไป 
 
ที่สำคัญที่สุดก็คือ ผมได้บอกไปแล้วว่าค่าเงินยูโรจะอ่อนค่าลงในปีนี้ ซึ่งเราก็เริ่มเห็นมันอ่อนค่าลงแล้ว ไม่เฉพาะเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น แต่กับเงินสกุลอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
 
ประการที่สอง ผมคาดว่าตลาดหุ้นในยุโรปจะร่วงเกินกว่า 20% ในปี 2557 
 
มันยังไม่เกิดขึ้น แต่ผมยังเชื่อว่าตลาดหุ้นยุโรปน่าจะดิ่งเหวในครึ่งหลังของปีนี้ 
 
ประการที่สาม ผมได้บอกไว้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะแย่กว่าที่คาด
 
GDP ของสหรัฐในไตรมาสแรกหดตัวลง 1% โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากการลดลงของการลงทุนในสินค้าคงคลัง การส่งออก การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ การใช้จ่ายภาครัฐ และการลงทุนในที่อยู่อาศัย แต่ถึงแม้ผมจะคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะยังแย่อยู่ แต่ผมก็ได้บอกไว้ก่อนแล้วว่าตลาดหุ้นสหรัฐจะยังคงอยู่ในขาขึ้นด้วยสาเหตุเพียงประการเดียว นั่นคือเงินทุนจำนวนมากแห่หนีออกจากยุโรปมาเข้าในหุ้นสหรัฐแทน 
 
ดังนั้น ดัชนี Dow Jones Industrial Average จึงเดินหน้าทำสถิติสูงสุดใหม่อยู่เรื่อยๆ และก็ยังคงมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นต่ออีกยาว แต่ในระยะสั้นนั้น ตลาดหุ้นสหรัฐน่าจะปรับตัวลดลงค่อนแรงเพื่อพักฐาน
 
สำหรับในตลาดเอเชียนั้น ก่อนหน้านี้ผมได้บอกเอาไว้ว่า “(เอเซีย) น่าจะมีเงินทุนทะลักเข้ามามากจากนักลงทุนที่กังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในยุโรป และสหรัฐ...และผมคาดว่าจะเห็นตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวสูงขึ้น พร้อมๆ กับที่เศรษฐกิจที่โต ท่ามกลางจำนวนผู้บริโภคเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีน และมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
 
ซึ่งตอนนี้มุมมองของผมก็ยังเหมือนเดิม เพราะราคาอสังหาริมทรัพย์ในเกือบทุกประเทศในเอเชียยังคงไปได้ดี ในขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียก็ปรับตัวดีกว่าตลาดอื่นๆ เกือบทุกตลาด 
 
สำหรับในประเทศไทย ซึ่งผมได้ส่งสัญญาณซื้อหุ้นมาตั้งแต่ช่วงที่มีการเริ่มชุมนุมในเดือนมกราคม และปรากฏว่าดัชนี SET ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกินกว่า15 % ภายในเวลาไม่ถึง 6 เดือนเท่านั้น
 
แล้วคุณควรจะทำอย่างไรดีกับพอร์ตการลงทุนของคุณ?
 
ต่อไปนี้ คือคำแนะนำของผมสำหรับนักลงทุนชาวไทย
 
ข้อที่ 1 อย่าเอาเงินไปลงทุนในยุโรปและค่าเงินยูโร เพราะเป็นภูมิภาคที่เสี่ยงที่สุดในโลก และสถานการณ์ในยุโรปน่าจะยังคงไม่ดีไปจนถึงสิ้นปี 
 
ข้อที่ 2 อย่าเข้าไปลงทุนในตลาดพันธบัตรสหรัฐ พันธบัตรสหรัฐไม่ได้เป็นหลักทรัพย์ที่ปลอดภัยที่สุดในโลกอีกต่อไปแล้ว แต่กลายเป็นหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดแทน 
 
ข้อที่ 3 สำหรับหุ้น ควรเน้นลงทุนในตลาดเอเชียเท่านั้น ตลาดหุ้นในสหรัฐและยุโรปน่าจะปรับตัวลดลงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ แต่ตลาดเอเชียน่าจะปรับตัวสูงขึ้นได้
 
ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่าเศรษฐกิจเอเชียยังคงแข็งแกร่ง และค่าเงินสกุลเอเชียก็แข็ง ดังนั้น คุณควรจะหลีกเลี่ยงการลงทุนในโลกตะวันตก และเน้นลงทุนในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกแทน
 
ข้อที่ 4 ควรเริ่มเข้าลงทุนในตลาดโลหะมีค่าที่เพิ่งกลับมาเป็นขาขึ้น เหตุผลสำคัญที่เราคาดว่าราคาทองคำและโลหะเงินจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในเร็วๆ นี้ก็คือ ค่าเงินยูโรที่อ่อนลง และปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองที่ลุกลามไปทั่วโลก ทั้งปัญหาสงครามเย็นรอบใหม่ที่กำลังก่อตัวขึ้นระหว่างสหรัฐและรัสเซีย, สงครามกลางเมืองในยูเครน, ความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามกลางเมืองในอิรัก, ปัญหาระหว่างเกาหลีเหนือ-ใต้, ความล้มเหลวของการประชุมสันติภาพในตะวันออกกลาง, ปัญหาระหว่างจีนและญี่ปุ่น รวมถึงปัญหาระหว่างจีนกับเวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย อีกด้วย 
 
และก็ยังมีปัญหาในที่อื่นๆ ที่อาจประทุขึ้นอีกได้ อย่างเช่นในซีเรีย เมียนมาร์ ลิเบีย ตุรกี เวเนซูเอลา ฯลฯ 
 
ทั้งหมดนี้ถือเป็นปัจจัยบวกอย่างมากต่อโลหะมีค่าในระยะต่อไป ทั้งทองคำ โลหะเงิน platinum และ palladium
 
คำแนะนำของผมก็คือ ถ้าคุณยังไม่ได้ซื้อ ก็เริ่มซื้อโลหะมีค่าได้แล้ว 
 
ผมแนะนำให้ซื้อเป็นเหรียญทองคำหรือทองแท่งก็ได้แล้วแต่ความชอบและความสะดวกของคุณ แต่คุณต้องซื้อจากร้านที่มีชื่อเสียง และเก็บโลหะมีค่าของคุณเอาไว้ในสถานที่ปลอดภัย หรือในตู้นิรภัยที่ธนาคาร 
 
แต่ถ้าคุณจะซื้อในปริมาณมาก ผมแนะนำให้ใช้บริการของ Hard Asset Alliance ผ่านระบบออนไลน์ได้ที่ ซึ่งผมคิดว่าราคาดีและมีทางเลือกในการจัดเก็บอยู่ทั่วโลก หรือไม่เช่นนั้นก็ใช้บริการของ Malca Amit Precious Metals สำหรับปริมาณการซื้อที่สูงกว่า 150,000 เหรียญ
 
ข้อที่ 5 เริ่มกลับมามองหุ้นเหมืองแร่อีกครั้ง โชคดีที่ผมแนะนำให้ผู้ที่ติดตามความเห็นของผมขายหุ้นเหมืองแร่ออกไปในช่วงใกล้จุดสูงสุดในเดือนกันยายน-ตุลาคม 2554 เพราะหลังจากนั้น หุ้นกลุ่มนี้ก็ร่วงอย่างหนักถึงประมาณ 80% หรือ90% เลยทีเดียว
 
แต่เมื่อตลาดโลหะมีค่ากำลังจะกลับเข้าสู่ขาขึ้นรอบใหม่ ขณะนี้จึงเป็นจังหวะที่ดีที่จะเข้าซื้อหุ้นเหมืองแร่ชั้นดีในราคาที่แสนถูก 
 
หุ้นกลุ่มนี้ที่ผมชอบมีอยู่ 10 ตัวด้วยกัน ซึ่งทุกตัวเป็นหุ้นเหมืองทองคำและโลหะเงินซึ่งมีศักยภาพในการทำกำไรสูงมากในอนาคต ได้แก่
 
  1. Goldcorp Inc. (GG) 
  2. Yamana Gold, Inc. (AUY) 
  3. Newmont Mining Corp. (NEM) 
  4. Agnico Eagle Mines (AEM) 
  5. Freeport-McMoRan Copper & Gold Inc. (FCX) 
  6. Hecla Mining Co. (HL) 
  7. Eldorado Gold Corp. (EGO) 
  8. New Gold, Inc. (NGD) 
  9. Franco-Nevada Corp. (FNV) 
  10. Randgold Resources Limited (GOLD)


Larry Edelson อดีตนักค้าทองคำรายใหญ่ระดับโลก ปัจจุบันพำนักในประเทศไทย เขียนรายงานคำแนะนำการลงทุนด้านโลหะมีค่า และสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ในวารสาร The Real Wealth Report ในสหรัฐอเมริกา