จังหวะของอินเดีย - Forbes Thailand

จังหวะของอินเดีย

FORBES THAILAND / ADMIN
24 Dec 2014 | 12:01 PM
READ 3873
ผมรู้สึกหวาดๆ เมื่อเครื่องบิน Airbus 380 ลำยักษ์ซึ่งดูเหมือนลูกปลาวาฬเบลูกาบิน ได้ร่อนลงจอดพาผมพร้อมกับผู้โดยสารอีก 524 คน ถึงท่าอากาศยานนานาชาติ Chhatrapati Shivaji ของ Mumbai ยินดีต้อนรับสู่อินเดีย ดินแดนแห่งความฝัน ทว่าไร้ระบบสิ้นเชิง ผมเผื่อใจว่าคงใช้เวลากว่าชั่วโมงผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ตามมาด้วยความสับสนวุ่นวายในการหารถ และฝ่าจราจรร่วม 2 ชั่วโมง จึงจะถึงโรงแรม Taj Mahal Palace
 
แต่สิ่งที่จินตนาการไว้นั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริง ผมผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองสบายๆ หลังจากขึ้นรถแล้วมองกลับไปที่อาคาร Terminal 2 ของสนามบิน ก็คิดว่านี่อาจเป็นหนึ่งในสนามบินที่ทันสมัยที่สุดในโลก แต่ที่แน่ๆ ก็คือมันเป็นอาคารสนามบินที่สวยที่สุดในโลก และใช้เวลานั่งรถไปโรงแรมแค่ 40 นาทีเท่านั้น
 
สิ่งที่พบอาจเพียงแค่ความประทับใจแบบผิวเผิน แต่ภาพของอินเดียเมื่อ 5 ปีก่อนทำให้ใครเป็นกังวลว่าประเทศที่ผลิตซอฟต์แวร์อย่างอินเดียจะไม่พัฒนาฮาร์ดแวร์ หรือโครงสร้างพื้นฐานได้ละก็ ถึงเวลาคิดใหม่ได้แล้ว เพราะสิ่งต่างๆ เริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว 
 
เหตุผลข้อหนึ่งคือ Narendra Modi หัวหน้าพรรคฮินดูชาตินิยมภารติยะชนตะ (BJP) มาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 15 เมื่อเดือนพฤษภาคม หลังจากเคยเป็นมุขมนตรีของรัฐ Gujarat ซึ่งเป็นรัฐเล็กๆ ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือที่มีประชากร 60 ล้านคน ช่วง 12 ปีที่อยู่ในตำแหน่ง Modi ได้จัดระบบราชการและภาษีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังเป็นมิตรต่อนักลงทุน จน Gujarat อยู่หัวแถวของอินเดียทั้งในด้านอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจและการจ้างงาน
 
คำถามคือ Modi จะนำวิธีเดิมมาขยายผลกับประเทศที่มีประชากร 1,200 ล้านคนได้หรือไม่ โดยนิสัยใจคอของ Modi ที่เด็ดเดี่ยวและไม่มุ่งแต่ทำลายศัตรูทางการเมือง อีกทั้งเชื่อทฤษฎีเรื่องพลังอุปทาน จึงมั่นใจว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจและการลงทุนจะทำให้เกิดความมั่งคั่ง ซึ่งต่างจากผู้นำคนก่อนๆ ของอินเดีย และตระกูล Gandhi  ซึ่งหากเชียร์ Modi ก็ย่อมหวังให้เขาเป็นดัง Lee Kuan Yew

 
โชคและความกล้าหาญ
 
Modi อาจต้องพึ่งโชคบ้าง แต่ต้องการความกล้าหาญมากกว่า ด้วยแรงกดดันเรื่องอัตราเงินเฟ้อของอินเดีย ที่แม้รัฐบาลของ Modi เตรียมรับมือปัญหาอาหารแพงไว้แล้ว ตอนเสนองบประมาณปีแรก และขาดดุลงบประมาณลดลงไม่มากเท่าหลายฝ่ายตั้งความหวังไว้ ทว่าตลาดหุ้นอินเดียปรับเพิ่มขึ้นกว่า 5% ตั้งแต่ Modi เป็นนายกรัฐมนตรี นับว่าสมเหตุผลที่จะตั้งความหวังกับเขาได้
 
แต่ที่เศรษฐกิจจะเฟื่องฟูนั้นเกิดจากผู้ประกอบการและบริษัทเอกชน โดยมีเพียงไม่กี่แห่งในโลกนี้ที่จะเติบโตแบบมีส่วนร่วม เช่นเครือ Tata บริษัทอินเดียอายุ 146 ปี ที่รายได้ราว 1 แสนล้านเหรียญ ถ้าอยู่วงการเทคโนโลยีก็ต้องรู้จัก Tata Consultancy Services ซึ่งมียอดขาย 1.16 หมื่นล้านเหรียญในปี 2013 และคาดว่าเป็น 1.4 หมื่นล้านเหรียญในปีนี้
 
นอกจากนี้ Tata ยังทำธุรกิจสายการบิน ยานยนต์ เหล็ก ผลิตไฟฟ้า ก่อสร้าง โรงแรม รวมถึงอาหารและเครื่องดื่มด้วย โดยมีธุรกิจในเครือมากกว่า 100 สาขา และดำเนินงานในกว่า 100 ประเทศ 
 
ที่ Tata คงศักยภาพธุรกิจต่างๆ ในเครือไว้ระดับแนวหน้าโดยไม่ปล่อยให้ตกไปอยู่ระดับค่าเฉลี่ย ก็ด้วยการผสมผสานการกลยุทธ์ การดำเนินการ และค่านิยมทางวัฒนธรรมที่แข็งแกร่งเข้าด้วยกัน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะใส่ทั้งความคิดและทุ่มเทไปในส่วนของวัฒนธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายๆ องค์กรมักมองข้ามไป
 
ณ อาคาร Bombay House ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานของ Tata ใน Mumbai ผมได้คุยกับ Mukund Rajan ซึ่งควบตำแหน่งงานที่ไม่ธรรมดาถึงสองตำแหน่ง คือ ผู้ดูแลแบรนด์ (Brand Custodian) และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายจริยธรรม (Chief Ethics Officer) ซึ่งตำแหน่งสุดแปลกแหวกแนวนี้ สะท้อนมุมมองต่อโลกของ Tata
 
“Tata เล่นเกมยาว” Rajan กล่าวและเสริมว่า “ระยะยาว ความเชื่อถือ จริยธรรม และธรรมาภิบาลจะสร้างความสุข และนำมาซึ่งความสำเร็จ” Rajan บอกีกว่ายุคการสื่้อสารทางสื่อสังคมออนไลน์และความโปร่งใสแบบสุดยอดในปัจจุบัน ถือเป็นสิ่งที่สอดรับกับค่านิยมที่ Tata ยึดมั่นมายาวนาน “คนสมัยนี้สามารถรับรู้ได้เร็วว่าใครที่เลือกใช้ทางลัดเพื่อทำกำไร”
 
ถ้าหากว่าส่วนอื่นๆ ของอินเดียปฏิบัติตามแบบอย่างของ Tata แล้ว เชื่อได้เลยว่าเราจะได้เห็นผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรมจากดินแดนแห่งความฝันแห่งนี้

 

Rich Karlgaard ผู้พิมพ์ผู้โฆษณาของ Forbes สำหรับบทความและบล็อกของเขา เข้าไปดูได้ที่ www.forbes.com/karlgaard