คาดอีก 10 ปี เม็ดเงินโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกเฉียด 2,500 ล้านล้าน - Forbes Thailand

คาดอีก 10 ปี เม็ดเงินโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกเฉียด 2,500 ล้านล้าน

FORBES THAILAND / ADMIN
18 Aug 2014 | 12:28 PM
READ 2592
PricewaterhouseCoopers เผยผลสำรวจการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโลกอ 10 ปีข้างหน้า สูง 78 ล้านล้านเหรียญ หรือกว่า 2,500 ล้านล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 6-7% ต่อปี สำหรับไทยพุ่งเกือบ 2 ล้านล้านบาท เป็นอันดับ 2 ของอาเซียน หลังเร่งผลักดันรถไฟความเร็วสูง

 
นายชาร์ล ออสทริคส์ หุ้นส่วนบริษัท PwC (ประเทศไทย) เปิดเผยผลสำรวจ Capital project and infrastructure spending: Outlook to 2025 ซึ่ง PwC จัดทำร่วมกับ Oxford Economics โดยสำรวจและคาดการณ์การใช้จ่าย-ลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานจำนวน 49 ประเทศใน 6 ทวีป มีสัดส่วนรวมกันคิดเป็น 90% ของจีดีพีโลก 
 
พบแนวโน้มการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในอีก 10 ปีข้างหน้า (ปี 2557-2568) จะมีมูลค่าสูงถึง 78 ล้านล้านเหรียญ หรือประมาณ 2,500 ล้านล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย 6-7% ต่อปี
 
ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เกิดการเติบโตก็คือ 1) ความพร้อมของแหล่งเงินทุนของภาครัฐในตลาดเกิดใหม่ ที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจยังคงขยายตัวต่อเนื่อง และไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ทางการเงินในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งการลงทุนส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้ จะเน้นเส้นทางคมนาคมขนส่ง บริการด้านสุขภาพ และการศึกษา 2) การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรปตะวันตกและญี่ปุ่น ทำให้ภาครัฐจำเป็นต้องลงทุนด้านสวัสดิการสังคมเพิ่มเพื่อดูแลผู้สูงวัย 3) การพัฒนาเข้าสู่สังคมเมือง ที่ทำให้เกิดการลงทุนในสาธารณูปโภคต่างๆ และ 4) กรอบนโยบายและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติก็เป็นตัวกำหนดรูปแบบการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเช่นกัน 
 
“ที่ผ่านมาเราเริ่มเห็นกระแสของการใช้จ่าย-ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เคลื่อนย้ายจากโลกตะวันตกมาฝั่งตะวันออกมากขึ้น นำโดยจีนเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก คาดว่าในปี 2568 หรืออีกประมาณสิบปีข้างหน้า เกือบ 60% ของมูลค่าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดทั่วโลกจะมาจากเอเชียแปซิฟิก ขณะที่สัดส่วนฝั่งยุโรปจะลดเหลือน้อยกว่า 10% จากในอดีตที่เคยเติบโตถึงสองเท่า” นายชาร์ลกล่าว
 
ประเภทโครงสร้างพื้นฐานที่มีสัดส่วนการลงทุนสูงสุดทั่วโลก ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิต (Manufacturing sector) เช่น โรงกลั่นน้ำมัน ปิโตรเคมี โลหะหนัก ซึ่งถือเป็นภาคอุตสาหกรรมหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยคาดว่าจะมีสัดส่วนการลงทุนคิดเป็น 21.3% ของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก และมีมูลค่าการลงทุนในช่วง 10 ปีต่อจากนี้เติบโตเฉลี่ยปีละ 8% รองลงมาอันดับสอง ได้แก่ อุตสาหกรรมการสกัด (Extraction sector) ประเภทที่ไม่ใช่น้ำมันและก๊าซ ได้แก่ ถ่านหิน เหล็ก แร่ธาตุ โดยจะมีการเติบโตของการใช้จ่ายเฉลี่ยปีละ 5% 
 
ทั้งนี้ The World Economic Forum  (WEF) ประมาณการณ์ว่า เม็ดเงินลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน (เช่น สาธารณูปโภค พลังงาน คมนาคมขนส่ง การบำบัดของเสีย การป้องกันน้ำท่วม และโทรคมนาคม) ทุกๆ ดอลล่าร์ จะก่อให้เกิดผลตอบแทนทางเศรษฐกิจกลับเข้าสู่ระบบประมาณ 5-25% โดยภาคเอกชนจะเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการลงทุนของรัฐมากขึ้น เพราะจะช่วยเพิ่มงบประมาณและรายได้ให้กับรัฐ เนื่องจากจัดเก็บภาษีได้มากขึ้น 
 
สำหรับแนวโน้มการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอีก 10 ปีข้างหน้านั้น นายออสทริคส์กล่าวว่า ประเทศอินโดนีเซียจะมีการลงทุนสูงสุดเป็นอันดับ 1 คือ 1.65 แสนล้านเหรียญ หรือประมาณ 5.3 ล้านล้านบาท รองลงมาคือไทย ประมาณ 5.85 หมื่นล้านเหรียญ หรือประมาณ 2 ล้านล้านบาท ตามด้วยเวียดนาม ที่คาดจะมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 5.6 หมื่นล้านเหรียญ หรือราว 1.8 ล้านล้านบาท
 
ทั้งนี้ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในอินโดนีเซียจะเติบโตหลังผ่านการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยคาดว่าการลงทุนภาครัฐ (Public investment) จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 7% ขณะที่อุตสาหกรรมหนัก เช่น เหมืองแร่ (Mining) จะมีมูลค่าการใช้จ่ายมากที่สุดถึง 4.6 หมื่นล้านเหรียญในปี 2568 จาก 1.3 หมื่นล้านเหรียญในปี 2555
 
ในส่วนของประเทศไทย การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การใช้จ่ายภาคคมนาคมขนส่งเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูง (High-speed rail project) คาดว่าจะใช้เม็ดเงินลงทุนราว 3.2 หมื่นล้านเหรียญ หรือมากกว่า  1 ล้านล้านบาทในช่วง 7 ปีข้างหน้า สำหรับประเทศเวียดนาม เม็ดเงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 9% ส่วนใหญ่จะเติบโตจากการลงทุนในเส้นทางคมนาคมขนส่งและอุตสาหกรรมการผลิต
 
“การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของไทยในช่วง 10 ปีข้างหน้าจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญจากแผนยุทธศาสตร์โครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมของไทยระยะเวลา 8 ปี หรือระหว่างปี 2558-2565 ซึ่งมีมูลค่าวงเงินลงทุนสูงถึง 2.4 ล้านล้านบาท หากการลงทุนเกิดขึ้นจริงตามแผนที่วางไว้ น่าจะเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้เศรษฐกิจของไทยเติบโตได้ในระยะกลาง” นายชาร์ลกล่าว 
 
นายชาร์ลกล่าวทิ้งท้ายว่า ประเทศไทยต้องเร่งสรุปแผนและแนวทางการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะเส้นทางคมนาคมขนส่งให้ชัดเจนก่อนการเปิดประชาคมอาเซียนปลายปี 2558 เพื่อพัฒนาการเชื่อมโยงระบบขนส่งและการเดินทางเข้า-ออกทั้งในและระหว่างประเทศ ให้ทัดเทียมเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปรค์และมาเลเซีย และเพื่อเป็นการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน