หนังสือพิมพ์มติชนจัดสัมมนา "ปี 2021 ประเทศไทยไปต่อ" ดึง ไทยเบฟ ซีพี ร่วมเสวนา
![](https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/03/ไทยเบฟ-ซีพี_001.jpg)
หนังสือพิมพ์มติชนจัดสัมมนา "ปี 2021 ประเทศไทยไปต่อ" เนื่องในโอกาสหนังสือพิมพ์มติชน ดำเนินกิจการเข้าสู่ปีที่ 44 โดยได้รับเกียรติจาก สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในงานพร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "พลิกโควิดเป็นโอกาส ประเทศไทยไปต่อ" ภายในงาน
"ปี 2021 ประเทศไทยไปต่อ" ยังได้รับเกียรติจาก
ผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย บรรยายพิเศษในหัวข้อ "Next step ฟื้นประเทศไทย" นอกจากนี้ยังได้รับเชิญจากสองกลุ่มยักษ์ของประเทศอย่าง ไทยเบฟ ซีพี โดย
ฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย
ศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ ณ ที่แกรนด์ฮอลล์ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทลแบงค็อก กรุงเทพฯ
สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่องพลิกโควิด เป็นโอกาส ประเทศไทยไปต่อ ว่า ในปีนี้รัฐบาลยืนยันตัวเลขจีดีพีไทยจะขยายตัว 4% แม้ว่าในช่วงต้นปีทางกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าจีดีพีไทยจะขยายตัวเพียงร้อยละ 2.7 ไม่เกินร้อยละ 3 เพราะยังคงได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากรายได้การท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นตัว
ในส่วนของการส่งเสริมการลงทุน ภาคอุตสาหกรรมรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายในอีอีซีรวม 12 กลุ่มอุตสาหกรรม เช่น รถยนต์ไฟฟ้า สมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ เมดิคอล เกษตร เป็นต้น ซึ่งจะสอดคล้องกับทิศทางของประเทศในยุคหลังโควิด (Post Covid) โดยใช้กลยุทธ์ 4Ds (DIGITALIZATION DECARBONIZATION DECENTRALIZATION และ DE-REGULATION )
"นี้เป็นปีที่สำคัญที่สุดเป็นปีที่ต้องช่วยกัน เพราะรัฐบาลจะยืนยันคงเป้าหมาย 4% จากที่หลายสำนักคาดการณ์ว่าจีดีพีโตแค่ 2 ถึง 3% เรายังเหลือส่วนต่างอีก 1% ประมาณ 1.5 ถึง 1.6 แสนล้านบาท เราต้องช่วยกันประคับประคอง ผมมองว่าปี 65 จะเป็นปีแห่งการลงทุนสร้างอุตสาหกรรมใหม่สร้างอนาคตให้คนรุ่นถัดไปเข้มแข็ง”
ด้าน ผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ได้บรรยายพิเศษ Next step ฟื้นประเทศไทย ว่า
“การระบาดโควิด-19 ในปี 2563 ส่งผลกระทบในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะธุรกิจและแรงงานในภาคการท่องเที่ยว ส่งผลเศรษฐกิจไทยปรับลดลงกว่าร้อยละ 6.1 ส่วนในปี 2564 เริ่มเห็นเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวได้ แต่มีการประเมินว่า ประเทศไทยต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะกลับมาสู่จุดเดิมก่อนเกิดเกิดการระบาดไวรัส-19 ซึ่งมองว่าเป็นความเสี่ยงเช่นกัน เพราะความจริงอาจไม่กลับมาสู่จุดเดิมก็ได้ หากไม่มีการร่วมกันแก้ปัญหาจริงๆ"
โดยในระยะถัดไป ประเทศไทยมี 4 ความท้าทายหลัก ที่ต้องเผชิญหน้า ได้แก่ 1.นิวนอร์มอล ที่ทำให้กุญแจสู่ความสำเร็จของเศรษฐกิจและธุรกิจเปลี่ยนไป 2.กฎเกณฑ์ใหม่ (New Rule) อาทิ การที่โลกให้ความสำคัญกับเรื่องของเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (BCG) หรือการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และมีแนวโน้มจะนำไปสู่กฎเกณฑ์ใหม่เพิ่มเติม
3.แรงกดดันต่อการดำเนินนโยบายภาครัฐ เพราะหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 41.2 ต่อจีดีพี ณ สิ้นปี 2562 เป็นร้อยละ 51.8 ณ สิ้นปี 2563 จากการต่อสู้กับผลกระทบของโควิด-19 และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีนี้ และ 4.ความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ที่ปัจจุบันประเทศไทยเริ่มด้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้านในบางมิติ จึงมีความจำเป็นสูงมากที่ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันหาทางออกให้กับประเทศ ทั้งภาครัฐ ตัวภาคเอกชน และความร่วมมือของทั้งรัฐและเอกชน
ด้าน ฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวเสวนาว่า ทุกวิกฤตจะมีโอกาสอยู่เสมอ ธุรกิจโดยเฉพาะภาคเอกชนเป็นเรื่องของการแข่งขันอยู่แล้ว ทั้งสมรรถภาพของตัวเอง มีความพร้อมในทุกด้าน มีทัศนคติที่มั่นใจ แล้วก็สรรพกำลัง
ตอนนี้โลกทั้งใบกำลังเอียงมาอยู่ทางทิศตะวันออก คือในทวีปเอเชีย ประชากรโลก 7,800 ล้านคน ประชากรในทวีปเอเชียมีประมาณ 4,600 ล้านคน ร้อยละ 60 ของประชากรโลก ประมาณ 10-15 ปีก่อน แต่ก่อนเราต้องไปลงทุนในประเทศที่มีศักยภาพ ประเทศที่ใหญ่ ที่เคยได้ยินกลุ่มประเทศบริค (BRICS) ที่มีบราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีน และแอฟริกาใต้ ไม่จำเป็นต้องมองไปไกลถึงขนาดนั้น
แต่การที่เรายืนอยู่ในประเทศไทย จริงๆ เรามีโอกาสรอบตัวเรามหาศาล แต่ว่าเราจะทำความเข้าใจได้มากน้อยขนาดไหน เห็นโอกาสนั้น และพร้อมที่จะมีทักษะในการนำโอกาสมาเป็นประโยชน์ ในด้านธุรกิจ องค์กร หรือว่าประเทศชาติของเรา
จริงๆ มีคำกล่าวโบราณเอาไว้ว่า โอกาสผ่านหน้าตัวเองอยู่เสมอ เพียงแค่ว่าเรามีความรู้ความเข้าใจว่าสิ่งนั้นมันคือโอกาสหรือเปล่า แต่ในขณะที่มีความรู้เข้าใจว่าสิ่งเหล่านั้นคือโอกาส ลองถามตัวเองว่า เรามีทักษะความสามารถที่จะหยิบเอาโอกาสเหล่านั้นมาเป็นประโยชน์กับเรามากน้อยขนาดไหน
โดยทั้ง 2 เรื่อง คือ ความรู้ กับทักษะ มองไปในรูปแบบของโอกาสของภาคพื้นเอเชีย กลุ่มประเทศอาเซียน ประเทศไทยมีจำนวนประชากรไม่น้อย 68-69 ล้านคน ติดอันดับ 1 ใน 20 ของโลก
ทำไมเราถึงชอบพูดว่าประชากรมีส่วนสำคัญในการขยายตัวธุรกิจ เป็นเพราะว่าออกเรือไปจับปลาต้องไปดูที่ปลาอยู่ ก็เพราะว่าผู้บริโภคคือประชาชนคือคนนั้นเอง แต่ว่าการโอกาสที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย เรากำลังถูกสั่นคลอนด้วยสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน อย่างเรื่องของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ก็จะโยงกลับมาในเรื่องของเทคโนโลยี”
![](https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/03/ศุภชัย-เจียรวนนท์.jpg)
ทางด้าน
ศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า “สิ่งที่เป็นพื้นฐานสำคัญของประเทศ ถ้าเรายังมีประชากรที่ยังอยู่ภายใต้เส้นความยากจนในแง่รายได้ มันเป็นการยากยิ่งเดินหน้าต่อก็ยิ่งเหลื่อมล้ำสูง และประชากรชาวไทยส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตร และเกษตรกรไทยส่วนใหญ่ทำเป็นธุรกิจครัวเรือน
ขาดเรื่องการบริหารจัดการ ขาดเทคโนโลยี ขาดการตลาด ขาดความพัฒนาในการเพิ่มมูลค่าสินค้า ขาดนวัตกรรม และขาดการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เหมาะสม ถ้าเรามองถึงอนาคต คือ ไทยเราต้องเปลี่ยนฮวงจุ้ยประเทศเราใหม่ การที่ตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษอีอีซีนั้นยังไม่ใช่การเปลี่ยนฮวงจุ้ย แต่มันคือการดึงดูดการลงทุน
ทรัพยากรมนุษย์ในระดับโลก มายังประเทศไทย มาช่วยถ่ายทอดองค์ความรู้ มาช่วยสร้างประสิทธิผลมวลรวม นำเทคโนโลยีมาช่วยพัฒนา โดยไทยต้องกลายเป็นศูนย์กลางอะไรสักอย่าง ถ้าทั่วโลกยอมรับว่าเป็นศูนย์กลางแล้ว เราจะดึงดูดการลงทุนได้ นำมาซึ่งประสิทธิภาพสูงสุด ดึงทรัพยากรมนุษย์ และทุน”
อ่านเพิ่มเติม:
ดัชนี DJSI ยกระดับธุรกิจไทยมาตรฐานความยั่งยืนระดับโลก
ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine