แม็คโคร เร่งขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ ดันกลุ่มธุรกิจสู่ผู้นำค้าส่งค้าปลีกแห่งเอเชีย ขานรับแนวโน้มธุรกิจค้าปลีกครึ่งปีหลังฟื้นตัว ทยอยเปิดสาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง เดินหน้าพัฒนา Omni Channel เชื่อมต่อออนไลน์สู่ออฟไลน์ตอบโจทย์ธุรกิจยุคดิจิทัล พร้อมขยายผลแพลตฟอร์มแห่งโอกาส สร้างการเติบโตให้เอสเอ็มอี สู่ตลาดต่างประเทศ
ธานินทร์ บูรณมานิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจแม็คโคร กล่าวว่า ธุรกิจค้าส่งค้าปลีกในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มกลับมาฟื้นตัวอ้างอิงตามข้อมูลของศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ระบุถึงภาพรวมมูลค่าธุรกิจค้าปลีกในปี 2565 จะกลับมาขยายตัวอยู่ที่ 11% เป็น 3.45 ล้านล้านบาท จากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 การเพิ่มขึ้นของรายได้ภาคเกษตร และการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวที่ส่งผลต่อธุรกิจร้านอาหาร โรงแรม และจัดเลี้ยง (Horeca) โดยกลุ่มที่มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ต่อเนื่องแม้ต้องเผชิญสถานการณ์ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ สินค้าจำเป็นอย่าง Grocery เนื่องจากเป็นสินค้าจำเป็นต่อการบริโภค ขณะเดียวกันช่องทางการขายผ่านออนไลน์ยังคงเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งเป็นไปตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป โดยผู้ประกอบการค้าปลีกอาจต้องปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลง เช่น การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการเพิ่มประสิทธิภาพ การออกแบบประสบการณ์การซื้อสินค้าของผู้บริโภค การสร้าง engagement กับผู้บริโภคผ่านช่องทางออนไลน์และโซเชียลมีเดียในการสื่อสารกับผู้บริโภค เป็นต้น ดังนั้น กลุ่มธุรกิจแม็คโครจึงเล็งเห็นความสำคัญในการเร่งขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับทิศทางการฟื้นตัวและความเปลี่ยนแปลง เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายการเป็นผู้นำธุรกิจค้าส่งค้าปลีกของเอเชีย ด้วยการกำหนดยุทธศาสตร์สำคัญ 3 ด้าน ประกอบด้วย การขยายสาขาทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการขยายตัวของชุมชนและธุรกิจร้านอาหารที่กำลังกลับมาฟื้นตัว ส่วนในต่างประเทศบริษัทจะมุ่งเน้นไปยังภูมิภาคอาเซียนเป็นหลักจากปัจจุบันที่แม็คโครมีสาขาในต่างประเทศรวม 7 สาขาใน 4 ประเทศ ประกอบด้วย กัมพูชา, เมียนมา, อินเดีย และจีน สำหรับยุทธศาสตร์ถัดมา ได้แก่ การพัฒนาช่องทางการจำหน่ายในรูปแบบ Omni Channel เชื่อมโยงระหว่างออนไลน์สู่ออฟไลน์ (O2O) อย่างครบวงจร ผ่านเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน MakroClick และ maknet ซึ่งเป็น B2B Marketplace หรือตลาดค้าส่งออนไลน์ที่ครบวงจรสำหรับผู้ประกอบการ เพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคดิจิทัล โดยเพิ่มทีมงานคนรุ่นใหม่ เข้ามาช่วยพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลให้ตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้า และผู้ประกอบการรายย่อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจและสร้างผลกำไรมากขึ้น ซึ่งข้อมูลล่าสุดเมื่อสิ้นปี 2564 แม็คโครมีสัดส่วนยอดขายผ่านช่องทาง Omni Channel ถึง 12% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่มีสัดส่วนเพียง 7.5% นอกจากนั้น บริษัทยังวางยุทธศาสตร์การพัฒนาแพลตฟอร์มแห่งโอกาส เพื่อเอสเอ็มอีและเกษตรกรรายย่อย ซึ่งถือเป็นเป้าหมายสำคัญในการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างความยั่งยืน ด้วยการพาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยให้แข็งแกร่ง และเติบโตมีรายได้ที่มั่นคง โดยสนับสนุนตั้งแต่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ สร้างแบรนด์ให้เป็นที่ยอมรับ ตลอดจนเป็นช่องทางจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยในปัจจุบันแม็คโครได้สนับสนุนเอสเอ็มอีและเกษตรกรกว่า 20,000 ราย และส่งออกสินค้าเอสเอ็มอีไทยไปสู่สาขาแม็คโครในต่างประเทศแล้วกว่า 300 รายการ อ่านเพิ่มเติม: “ไทยประกันชีวิต” ทรานส์ฟอร์มเข้าตลาดหุ้นไทย Step Up สู่โลกใบใหญ่กว่าเดิมไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine