อีตั้น เผยเทรนด์ 4 กลุ่มธุรกิจ มีความต้องการพลังงานไฟฟ้าเติบโตสูง ทั้งระบบขนส่งมวลชน อุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์ ดาด้า เซ็นเตอร์ ไอที กระตุ้นการลงทุนทั้งภาครัฐ เอกชน อีตั้น ชูกลยุทธ์ “ดิจิทัล อินโนเวชั่น” บริการครบวงจร เพิ่มประสิทธิบริหารจัดการระบบพลังงานภายในองค์กร รับยุคดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น พร้อมวางแผนบริหารต้นทุน รับปัจจัยเสี่ยงการค้าโลก
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้น แม้จะส่งผลกระทบในหลากหลายอุตสาหกรรม แต่ทำให้ความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้ามีมากขึ้น จากพฤติกรรมนิว นอร์มอลของผู้บริโภคที่อยู่บ้านมากขึ้น รวมถึงการทำงานจากที่บ้าน ทำให้แต่ละองค์กรมีการลงทุนดาต้า เซ็นเตอร์ พร้อมระบบไฟฟ้าที่เข้ามารองรับการใช้งานดังกล่าว ส่งผลให้ธุรกิจของบริษัท อีตั้น อิเล็คทริค (ประเทศไทย) จำกัด (EATON) เติบโตอย่างต่อเนื่อง ปริญญา พงษ์รัตนกูล ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท อีตั้น อิเล็คทริค (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในปี 2563 ที่ผ่านมา ภายใต้สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 เกิดแนวโน้มการลงทุนระบบพลังงานไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นใน 4 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ ระบบขนส่งมวลชน ดาต้า เซ็นเตอร์ เฮลธ์แคร์ อิเลคทรอนิกส์และ เซมิคอนดักเตอร์ สะท้อนให้เห็นความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นตามพฤติกรรมนิว นอร์มอลของผู้บริโภค โดยเฉพาะในส่วนของอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์ และดาต้า เซ็นเตอร์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนระบบไฟฟ้าของโรงพยาบาล 4 กลุ่มธุรกิจลงทุนระบบไฟฟ้าเพิ่ม สำหรับการลงทุนระบบพลังงานไฟฟ้าของกลุ่มระบบขนส่งมวลชนในปี 2563 ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2 จากปีก่อน ซึ่งเป็นโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ ทั้งรถไฟฟ้าในเมืองและรถไฟความเร็วสูงในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ขณะที่การลงทุนในกลุ่มดาต้า เซ็นเตอร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จากการเข้าสู่ยุคดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น ทำให้ความต้องการใช้งานดาต้า เซ็นเตอร์มีเพิ่มขึ้น รวมถึงการลงทุนในระบบคลาวด์ ส่วนกลุ่มเฮลธ์แคร์ มีการลงทุนเพิ่มราวร้อยละ 10-12 และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องในปีนี้ เนื่องจากนโยบายของภาครัฐที่ต้องการเป็นฮับของอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์ในภูมิภาคนี้ และกลุ่มไอทีและเซมิคอนดักเตอร์ เติบโตเฉลี่ยร้อยละ 3 จากการลงทุนระบบ 5G “แต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม มีความต้องการลงทุนระบบจัดการพลังงานไฟฟ้าที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการดำเนินงานให้องค์กร รวมทั้งมีความต้องการโซลูชันที่ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล ที่อุปกรณ์ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องในระบบสามารถเชื่อมต่อกันได้ ซึ่งจะทำให้การลงทุนมีประสิทธิภาพและตอบโจทย์การใช้งานลูกค้าและผู้บริโภค” ปริญญากล่าวถึงเทรนด์การลงทุนระบบพลังงานไฟฟ้าในปัจจุบัน ขณะที่การลงทุนด้านระบบพลังงานไฟฟ้าของประเทศ ยังเติบโตต่อเนื่อง เพื่อมุ่งสู่การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้แนวคิด Smart Grid Smart Solutions รวมไปถึงการลงทุนในระบบซอฟท์แวร์การบริหารจัดการพลังงานหลัก และพลังงานทางเลือกที่เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ช่วยลดต้นทุน และสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับภาครัฐและเอกชน ถือเป็นสิ่งจำเป็นและทำให้ธุรกิจของอีตั้นในประเทศไทยเติบโต อีตั้นชูกลยุทธ์ “ดิจิทัล อินโนเวชั่น” ปริญญา กล่าวว่า จากเทรนด์ที่เกิดขึ้น ทำให้ธุรกิจอีตั้นในประเทศเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2563 ที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตร้อยละ 10 และปีนี้คาดว่าการลงทุนจะกลับมาขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยลูกค้าหลักของอีตั้นเป็นภาครัฐระหว่างภาครัฐและเอกชนที่สัดส่วน 70 ต่อ 30 ซึ่งเป็นไปตามแนวโน้มการลงทุนที่เกิดขึ้น ที่ 2-3 ปีหลังการลงทุนภาครัฐจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก โดยเฉพาะโครงการลงทุนระบบรถไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าแนวโน้มการลงทุนของภาคเอกชนจะกลับมาฟื้นตัวในปีนี้ ทั้งนี้ อีตั้นถือเป็นผู้ให้บริการระบบไฟฟ้าครบวงจร ตั้งแต่การศึกษา ออกแบบ ก่อสร้าง และระบบสนับสนุนต่างๆ โดยมีสินค้าที่เป็นแบรนด์ระดับโลก เช่น Moeller Cutler-Hammer Westinghouse เป็นต้น โดยกลุ่มบริษัท อีตั้น เวิลด์ไวด์ มีรายได้รวมทั่วโลกกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับในประเทศไทยเปิดดำเนินการมากว่า 10 ปี ถือเป็นผู้ให้ระบบพลังงานไฟฟ้าอันดับ 1 ใน 3 ของประเทศ “ทิศทางการดำเนินธุรกิจของเราจะมุ่งสู่การเป็นผู้ให้บริการด้วย ดิจิทัล อินโนเวชั่น การนำดิจิทัลเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างครบวงจร ด้วยระบบการบริหารจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ และสามารถเชื่อมต่อกับทุกอุปกรณ์ เพื่อทำให้ธุรกิจของลูกค้าเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งประเทศไทยถือเป็นตลาดสำคัญของอีตั้นในภูมิภาคนี้” ปริญญากล่าว นอกจากนี้ แนวโน้มการพัฒนาสินค้าและบริการยังสอดรับกับเทรนด์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งในเรื่อง IOT ความปลอดภัยไซเบอร์ รวมถึงการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล รองรับการเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างสมบูรณ์ ขณะเดียวกันมีการพัฒนาอุปกรณ์และระบบบริหารจัดการรองรับพลังงานทางเลือกใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญในการดูแลสิ่งแวดล้อมและบรรยากาศของโลก อ่านเพิ่มเติม: Beyond Meat จับมือ McDonald’s และ Yum! Brands พัฒนาเมนู Plant-Basedไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine