คนอร์ (Knorr) แบรนด์ชั้นนำจาก บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด เปิดตัวแคมเปญ “Eat Good, Get Good” หรือ กินดี ได้ดี ตั้งเป้าให้คนไทยบริโภคอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น 5 ล้านคนในปีแรก และ 29 ล้านคนภายในปี 2568
ประชากรโลกกว่า 2 ล้านล้านคนอยู่ในเกณฑ์น้ำหนักเกิน ในขณะที่มีประชากรกว่า 1 ล้านล้านคน เผชิญกับภาวะขาดอาหาร จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก หรือ WHO เผยว่า ประชากรโลกจำนวน 2 ล้านล้านคนประสบปัญหาการขาดวิตามินและเกลือแร่ ระบบอาหารโลกยังก่อให้เกิดการทำลายสิ่งแวดล้อม และมากกว่าร้อยละ 20 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกมาจากอุตสาหกรรมอาหาร ในขณะที่กว่า 1 ใน 3 ของอาหารที่ผลิตออกมากลับกลายเป็นขยะอาหาร จากงานวิจัยของคนอร์และ World Wildlife Fund Inc. (WWF) พบว่าร้อยละ 75 ของการบริโภคของคนทั้งโลก เกิดจากการบริโภคพืชผัก 12 ชนิด และสัตว์ 5 ชนิดเท่านั้น ซึ่งการบริโภคแบบนี้ จะสร้างผลเสียต่อตัวเราและโลกของเรา คนอร์จึงต้องการเปลี่ยนแปลงให้สังคมในปัจจุบันและอนาคต เพื่อให้เกิดการบริโภคเพื่อสุขภาพอย่างยั่งยืน ผ่านวัตถุดิบ Future 50 Food (F50 Food) หรือ 50 อาหารเพื่อสุขภาพและโลกที่ดีขึ้นของทุกคน ยิ่งไปกว่านั้น ยูนิลิเวอร์ยังเดินหน้าเต็มที่เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงระบบอาหารโลก โดยภายในปี 2568 ยูนิลิเวอร์จะเพิ่มจำนวนผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพเป็นสองเท่าทั่วโลก นอกจากนี้ยังลดปริมาณของแคลอรี่ โซเดียม และน้ำตาลในผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นพันธกิจ “Future Food” เพื่อสังคมและโลกที่ยั่งยืน![](https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/07/คนอร์_0002.jpg)
กินดี ได้ดี เริ่มง่ายๆ เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นและยั่งยืนไปกับคนอร์
โรเบิร์ต แคนเดลิโน ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทยูนิลีเวอร์ประเทศไทยและอาเซียน กล่าวว่า “ที่คนอร์ การสร้างคุณค่าทางโภชนาการอย่างยั่งยืนเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญหลักของเรา โลกเรากำลังเผชิญกับปัญหาใหญ่ของระบบอาหารโลก และในฐานะบริษัทอาหารชั้นนำของโลก เราต้องการที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกในประเด็นนี้ เราเชื่อว่าทุกคนควรเข้าถึงอาหารที่เปี่ยมด้วยคุณค่าทางโภชนาการได้ ในขณะที่เรารณรงค์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อการบริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น เรายังให้คำมั่นสัญญาในการเปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์ของเราให้ดีต่อสุขภาพมากขึ้น ช่วงปลายปี 2563 ผลิตภัณฑ์คนอร์กว่า 83% ผ่านหลักเกณฑ์โลกในการจำกัดปริมาณเกลือที่ 5 กรัม ต่อวัน ยิ่งไปกว่านั้น ทีมวิจัยและพัฒนาของเราได้ทำงานอย่างหนักเพื่อคิดค้นนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ โดยเรามีคำมั่นสัญญาว่าจะเปลี่ยนเป็นบรรจุภัณฑ์รีไซเคิล 100% ในปี 2025” “ยิ่งไปกว่านั้น เรายังคงมุ่งเน้นในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงเพื่อความยั่งยืนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการลดขยะอาหาร จากการผลิตโดยตรงของเราจากโรงงานไปสู่ร้านค้าลง 50% ในปี 2568 การลดการใช้พลังงานในด้านอื่นๆ อาทิไฟฟ้า และน้ำ รวมไปถึงการสนับสนุนวัตถุดิบทางการเกษตรแบบยั่งยืนจากการคัดสรรวัตถุดิบของเรา โดยเราได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับชาวนา และผู้ผลิตเพื่อสร้างมาตรฐานให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมในห่วงโซ่อาหารของเรา” โรเบิร์ตเสริม ด้วยเหตุนี้ คนอร์จึงได้สร้างสรรค์แคมเปญ “Eat Good, Get Good” หรือ กินดี ได้ดี เพื่อสนับสนุนให้คนไทยหันมาปรับพฤติกรรมการบริโภคเพื่อสุขภาพมากขึ้น อัลพาน่า ไททัส ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาตลาดธุรกิจกลุ่มอาหารภูมิภาคเอเชียและประเทศไทย อธิบายถึงแคมเปญนี้ว่า “ผลสำรวจผู้บริโภคของเราแสดงให้เห็นว่าคนไทยทุกคนมีความตั้งใจที่ดีในการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ แต่ด้วยสถานการณ์ต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ทำได้ให้ต้องบริโภคอะไรที่ไม่ดีต่อร่างกายหรือโลกไปโดยปริยาย ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลของการไม่มีเวลา หรือทำอาหารเพื่อสุขภาพไม่เป็น อีกทั้งหลายคนยังเชื่อว่าอาหารเพื่อสุขภาพมักมีราคาแพง หรือไม่อร่อย คนอร์จึงอยากทำหน้าที่ในการเปลี่ยนมุมมองผิดๆ เหล่านี้ โดยการสาธิตถึงอาหารที่ดี มีประโยชน์ และอร่อยสามารถอยู่รวมกันในจานเดียวได้อย่างไร ด้วยแคมเปญนำร่อง “Eat Good Wednesday” หรือ #วันพุธกินดี ที่เชิญชวนคนไทยให้ลองสัมผัสประสบการณ์ว่าอาหารที่ทั้งอร่อยและมีประโยชน์สามารถทำให้ง่ายๆ และประหยัดได้อย่างไร และคนอร์พร้อมจะสนับสนุนวิถีเพื่อสุขภาพของทุกคน เราเข้าใจถึงพฤติกรรมการบริโภคในปัจจุบันของคนไทย เราจึงอยากรณรงค์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงง่ายๆ โดยเพิ่มสิ่งดีๆ ลงไปในมื้ออาหารทุกวัน อาทิ แนะนำทางเลือกของอาหารที่ทั้งมีประโยชน์และอร่อย วิธีทำอาหารง่ายๆ สำหรับมือใหม่ หรือเคล็ดลับในการเลือกซื้ออาหารโภชนาการในราคาสบายกระเป๋า ทั้งหมดนี้เพื่อให้คนไทยได้บริโภคเพื่อสุขภาพมากขึ้นจากพฤติกรรมเดิม” ““Eat Good Wednesday” หรือ #วันพุธกินดี ที่เชิญชวนให้คนไทยหันมาบริโภคอาหารที่เปี่ยมด้วยคุณค่าทางโภชนาการมากขึ้น เริ่มง่ายๆ กำหนด 1 วันใน 1 สัปดาห์นั่นคือวันพุธ โดยลองปรับพฤติกรรมการบริโภคจากปกติ ที่หลายคนอาจไม่ค่อยมีเวลาได้บริโภคผัก ธัญพืช หรืออาหารที่มีประโยชน์เท่าที่ควร เป็นการเพิ่มอาหารที่ดีต่อสุขภาพเหล่านั้นลงไปในมื้อปกติของคุณ หรืออาจจะเริ่มจากวัตถุดิบ Future 50 Food (F50 Food) หรือ 50 อาหารเพื่อสุขภาพและโลกที่ดีขึ้นของทุกคน โดยสามารถหาได้ง่ายๆ จากตลาดหรือซูปเปอร์มาร์เกตอย่างปวยเล้ง, หัวไช้เท้า, ผักกาดขาว หรือเห็ดเข็มทอง ที่แม้จะปรับเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าทำสม่ำเสมอ ก็อาจจะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้ เรียกได้ว่าเป็นการ กินดี ได้ดี เพื่อตัวคุณเอง สุขภาพดีเริ่มได้ที่ตัวเรา” อัลพานา เสริม![](https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/07/คนอร์_0001.jpg)
ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine