Nissan ยกระดับเชื่อมต่อสังคมด้วยพลังงานไฟฟ้า - Forbes Thailand

Nissan ยกระดับเชื่อมต่อสังคมด้วยพลังงานไฟฟ้า

เป็นปีที่สองติดต่อกันที่ Nissan มีนัดพูดคุยกับ Forbes Thailand Online ซึ่งครั้งนี้ Yutaka Sanada ในฐานะ senior vice president for Nissan in Asia and Oceania ที่ร่วมการแถลงข่าวในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งใหญ่ของประเทศไทยที่ผ่านมา

จากการพูดคุย เราได้รับรู้ทิศทางธุรกิจจากNissan ที่ฉายภาพความเชื่อมั่นซึ่งมีต่อประเทศไทยและทิศทางในการพัฒนายานยนต์พลังงานไฟฟ้าโดยมีสิ่งที่เรียกว่า “Nissan intelligent Mobility” เป็นโครงความคิดสำคัญ ทิศทางNissan ของเอเชียและไทยอยู่ในส่วนหนึ่งของแผนระยะกลางที่ได้ประกาศไปแล้วทั่วโลกเมื่อต้นปี 2018 ที่เรียกว่า “M.O.V.E 2022” โดยมีเป้าหมายหลักในการขายรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเป็นจำนวน 1 ล้านคันในทั่วโลกในอีก 3 ปีที่มาถึง ในแผนระยะกลางดังกล่าว มีสิ่งสำคัญที่ให้ความสำคัญคือ “ผู้บริโภค” ซึ่งสิ่งที่ค่ายยานยนต์แห่งนี้ได้ทำไปแล้วคือการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับภูมิภาคนั้นๆ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการเปิดตัวNissan Terra ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภูมิภาคที่ใช้เป็นฐานในการพัฒนาและการผลิต Nissanมีโครงความคิดที่ใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์สู่นวัตกรรมใหม่เรียกว่า“Nissan intelligent Mobility” และต่อยอดก่อให้เกิดเป็นแนวทางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ แนวทางการพัฒนาพลังงานสะอาด และ แนวทางในการนำเทคโนโลยีต่างๆ เกี่ยวข้องกับการเชื่อมต่อ “รถยนต์เข้ากับชีวิตประจำวัน” Sanada เล่าต่อว่า “Nissan intelligent Mobility” มีหัวใจการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ได้นำเสนอต่อผู้บริโภคใน 3 ประเด็นหลักคือ การพัฒนาการขับขี่ให้ปลอดภัยและสะดวกสบายมากขึ้น การพัฒนานำเสนอเครื่องยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น และประเด็นสุดท้ายคือการพัฒนาในเรื่องการเชี่อมต่อ ซึ่งการเชื่อมต่อที่ว่าจะไม่ใช่การที่รถยนต์ที่เชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถืออีกต่อไป แต่รถยนต์ไฟฟ้าจะถูกเชื่อมต่อเป็นโครงข่ายไฟฟ้า ทำหน้าที่เป็นแหล่งจ่ายพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานทดแทนหรือลดแทนการใช้งานภายในบ้าน ซึ่งทั้ง 3 ประเด็นหลักเหล่านี้ เป็นสิ่งที่มุ่งนำเสนอให้กับลูกค้า ฟังแล้วอนาคตNissan จะมีรถยนต์ไฟฟ้าเปิดตัวมากแค่ไหน? Sanada เสริมว่าเราเพิ่มสัดส่วนของรถยนต์ไฟฟ้าแน่นอน ในวันนี้เรามีการเปิดตัวNissan Leaf ซึ่งเชื่อว่าสามารถนำส่งรถยนต์ในช่วงเดือนเมษายน 2562 สำหรับลูกค้าในประเทศไทย การเปิดตัวNissan Leaf ถือเป็นก้าวแรกที่เราได้เตรียมความพร้อมสำหรับเครื่องยนต์ไฟฟ้า เราเตรียมพัฒนาให้การขับขี่อันมีสัมผัสเดียวกับเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมัน จึงเกิดเป็นโมเดลNissan Leaf ที่นำเข้ามาจำหน่ายสำหรับลูกค้าในประเทศไทย ซึ่งในเรื่องการชาร์ตเครื่องยนต์ เราทำงานกับพาร์ทเนอร์เพื่อให้ใช้หัวจ่ายไฟฟ้าแบบเดียวกัน ราวเดือนกันยายน 2561 มีชาร์จมากกว่า 244 จุด ทั่วประเทศไทย แบ่งเป็นจุดชาร์ตแบบเร่งด่วน 104 จุด และจุดชาร์ตแบบธรรมดา 140 จุด สำหรับความคาดหวังของNissan Leaf ในประเทศไทย Sanada เปิดเผยว่าสำหรับNissan Leaf เราถือว่าเป็น Icon ของแนวคิดเรื่อง “Intelligent Mobility” ดังนั้นNissan Leaf จะเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนสำหรับตอบโจทย์กับลูกค้าของเรา ว่าสิ่งที่Nissan พยายามนำเสนอในเรื่อง “Intelligent Mobility” มันคืออะไร e-POWER อีกก้าวสำหรับNissan ในวันนี้คือการนำเสนอเครื่องยนต์ที่เรียกว่า e-POWER โดยการทำงานของ e-POWER จะเป็นเครื่องยนต์สันดาปภายในและแบตไฟฟ้าอยู่ร่วมกันซึ่งเครื่องยนต์ทำหน้าที่ปั่นไฟฟ้าแล้วจ่ายกระแสไฟให้กับมอเตอร์ในการขับเคลื่อน ในญี่ปุ่นเรานำเครื่องยนต์แบบ e-POWER ในรถยนต์สองรุ่นคือNissan Note และNissan Serina ซึ่งทั้งสองรุ่นก้าวขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งในเซกเม้นต์การขายที่รถทั้งสองรุ่นทำตลาดอยู่ จากงานวิจัยด้านความพึงพอใจ ลูกค้าของเราต่างชื่นชอบในเรื่องของเทคโนโลยีและความรู้สึกที่ดีแห่งการขับขี่ ทั้งในเรื่องของการอัตราการเร่ง ความเงียบ การที่คู่แข่งของเราก็มีความโดดเด่นในเรื่องเครื่องยนต์แบบ Hybrid และเราสามารถเบียดเข้ามาเป็นอันดับหนึ่งทำให้เรามั่นใจยิ่งขึ้น แล้วอนาคตอะไรที่ตอบโจทย์ของผู้บริโภค? Sanada เผยว่าอนาคตที่จะมาถึงคือ “การเชื่อมต่อ” และ “การขับขี่อัตโนมัติ” ซึ่งระบบการขับขี่อัตโนมัติของเรามีหลายระดับมาก ระบบการขับขี่อัตโนมัติถูกนำไปใช้แล้วในต่างประเทศอย่าง ญี่ปุ่น อเมริกา ซึ่งแผนในการนำเสนอในเรื่องการขับขี่อัตโนมัติNissan ได้ทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เนื่องจากเงื่อนไขในแต่ละประเทศก็ไม่เหมือนกัน อาทิ สัญญาณไฟจราจรที่แต่ละประเทศ การรุกทำตลาด เมื่อ Forbes Thailand Online ได้ถามถึงการลงทุนของNissan สำหรับประเทศไทย? Sanada เผยว่าตอนนี้แผนในการลงทุนในไทยเกิดขึ้นไปแล้วดูได้จากสิ่งที่เราได้ลงทุนและให้ความสำคัญกับประเทศไทย ฟาซิลิตี้ ของเราอยู่ที่นี่ เฮดควอเตอร์ก็ที่อยู่ที่นี่ รีจินอล เฮดควอเตอร์ อาร์แอนด์ดี ศูนย์ทดสอบอยู่ที่นี่หมด แม้ตอนนี้จะยังไม่แผนการลงทุนแต่ประเทศไทยจะเป็นที่แรกๆ ที่เราตัดสินใจลงทุน สำหรับภาพรวมตลาดรถยนต์ในประเทศไทยถือว่าดีซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี ในขณะที่คู่แข่งของเราก็แข็งแกร่งเหมือนกัน ภาพที่เราอยากจะเห็นอยากจะเป็นและอยากจะไป คือเรื่องที่เราเน้นที่ลูกค้าของผลิตภัณฑ์และการบริการเพื่อตอบโจทย์ลูกค้ามากยิ่งขึ้น