ค่ายรถยักษ์ใหญ่อย่าง 'Volvo' ต้องล้มแผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า EV เต็มรูปแบบภายในปี 2030 ที่เคยประกาศไว้เมื่อ 3 ปีก่อน เหตุมาจากดีมานด์ความต้องการผู้บริโภคชะลอตัวลง สภาวะตลาดไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้
สำนักข่าว BBC ได้รายงานข้อมูลล่าสุดว่า บริษัทรถยนต์ค่ายวอลโว่ได้ละทิ้งเป้าหมายจากเดิมที่เคยประกาศไว้เมื่อ 3 ปีก่อน ว่าจะผลิตและจำหน่ายเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้เต็มรูปแบบภายในปี 2030 ทั้งนี้ การปรับเปลี่ยนแผนดังกล่าวเป็นผลมาจากสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป จากการที่ภาคอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า EV ได้ชะลอตัวลงในตลาดหลักๆ บางแห่ง ประกอบกับความไม่แน่นอนอันเนื่องมาจากการกำหนดภาษีการค้าสำหรับรถ EV ที่ผลิตในจีน
ที่ผ่านมา วอลโว่ มักจะชูจุดเด่นในเรื่องของการรับรองด้านสิ่งแวดล้อม แต่ปัจจุบันได้กลายมาเป็นอีกหนึ่งค่ายรถยนต์ที่ปรับลดความทะเยอทะยานที่จะพุ่งเป้าในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเดียวลง ไม่ต่างจากค่ายยักษ์ใหญ่รายอื่นๆ อาทิ เจนเนอรัล มอเตอร์ส และ ฟอร์ด
ทั้งนี้ คาดว่า ภายในปี 2030 ราวๆ 90% ของกำลังการผลิตรถยนต์วอลโว่ จะประกอบด้วยรถยนต์ไฟฟ้า และรถ PHEV หรือรถปลั๊กอินไฮบริด นอกจากนี้ทางบริษัทอาจจะจำหน่ายรถรุ่น Mild Hybrid (MHEV) หรือระบบที่เครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าอีกเล็กน้อย
“เรายังเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าอนาคตของเราคือพลังงานไฟฟ้า แม้ว่าตอนนี้การเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานดังกล่าวจะยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ อีกทั้งดีมานด์ความต้องการของตลาดและกลุ่มลูกค้าก็ปรับเปลี่ยนไปในทางที่แตกต่างกัน” Jim Rowan, chief executive of Volvo เผย นอกจากนี้ ทางวอลโว่ยังระบุอีกด้วยว่า ทิศทางธุรกิจสำหรับตลาดรถอีวียังเปลี่ยนไปจากหลายปัจจัย ยกตัวอย่าง เช่น การเปิดตัวสถานีชาร์จที่ล่าช้าส่งผลให้แรงจูงใจในการซื้อของผู้บริโภคลดน้อยลง
อย่างไรก็ตาม Anna McDonald นักวิเคราะห์อิสระ ยังให้ความเห็นด้วยว่า “ผู้บริโภคจำนวนมากยังมีความกังวลเกี่ยวการเปลี่ยนไปใช้รถ EV เช่น เงินอุดหนุนบางส่วนที่รัฐบาลกำหนดไว้เพื่อสนับสนุนในการซื้อรถ EV นั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว รวมถึงความกังวลถึงความสะดวกในการหาสถานีชาร์จไฟรถยนต์ ที่ยังคงทำให้รถ EV มีราคาสูงอยู่”
แปลและเรียบเรียงจากบทความ : Volvo gives up plan to sell only EVs by 2030
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : Toyota มั่นใจยอดขายกระเตื้อง หลัง Yaris Cross และ Corolla กลับมาผลิตและส่งออกได้ตามปกติ
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine