REVERSHARGER ผู้นำตลาดชาร์จรถ EV เผยตลาดรถอีวีปี 67 เติบโตต่อเนื่อง แตะ 200,000 คัน หนุนตลาดชาร์จพุ่ง 15,000 จุด ทุ่ม 600 ล้านบาท เร่งขยายจุดชาร์จ ขณะที่รายได้เติบโต 10 เท่า หลังกลุ่มเรเว่ ออโตโมทีฟเข้าถือหุ้น ปีนี้รายได้ 1,200 ล้านบาท คาดภายในปี 2030 รายได้ไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท เล็งเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ระดมทุน ตอกย้ำผู้นำอันดับ 1 EV Ecosystem Operator เมืองไทย
พีระภัทร ศิริจันทโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด ผู้ให้บริการสถานีชาร์จภายใต้แบรนด์ “REVERSHARGER” และผู้นำ EV Ecosystem Operator ในประเทศไทย คาดการณ์ว่า ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยปีนี้จะมียอดจดทะเบียนราว 200,000 คัน จากปี 2566 ที่มียอดจดทะเบียนสะสมอยู่ที่ 89,000 คัน ส่งผลให้มีความต้องการจำนวนเครื่องชาร์จ (EV Charger) ที่บ้านเพิ่มขึ้น
ขณะที่จุดชาร์จ EV สาธารณะ (Public Charge) มีความต้องการพุ่งขึ้นสูงถึงประมาณ 15,000 หัวชาร์จ ขณะที่ปัจจุบันมีจุดชาร์จสาธารณะรวมกัน 9,693 หัวชาร์จเท่านั้น ซึ่งน้อยกว่าความต้องการจริงราว 35% เป็นโอกาสในการขยายธุรกิจสถานีชาร์จอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ หลังการเข้าถือหุ้นร้อยละ 25 ของ บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด ผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า BYD ของตระกูลพรประภา ทำให้ธุรกิจชาร์จ แมเนจเม้นท์ เติบโต 10 เท่า โดยปี 2566 ที่ผ่านมามีรายได้ 500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่มีรายได้ 50 ล้านบาท และขยายจุดชาร์จไป 1,110 จุด
สำหรับปีนี้มีแผนลงทุนราว 600 ล้านบาท เพื่อติดตั้งจุดชาร์จสำหรับในบ้าน 100,000 หลัง และติดตั้งหัวชาร์จสาธารณะรวมเป็น 2,012 หัวชาร์จ ภายในเดือนเมษายนนี้ ซึ่งจะทำให้รายได้ของบริษัทฯ ในปีนี้แตะที่ระดับ 1,200 ล้านบาท และมีจำนวนผู้ใช้กว่า 200,000 แสนราย ขณะที่ภายในปี 2030 บริษัทจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท เติบโตตามตลาดรถ EV ที่คาดว่าจะมีจำนวนรถ 300,000 คันในประเทศไทย
ชู 3 แนวคิด ชาร์จเร็วใน 10 นาที
พีระภัทร กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มตลาดรถ EV ในปีนี้ ยังเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งเป็นไปตามเทรนด์ของของผู้บริโภคที่เลือกใช้รถยนต์พลังงานสะอาดเพื่อลดโลกร้อน โดยภาพรวมตลาดรถยนต์ไฟฟ้าโลก คาดว่าจะมีรถ EV ราว 11 ล้านคัน คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 8 ของยอดจำหน่ายรถยนต์ทั้งหมดปีละ 82 ล้านคัน
สำหรับประเทศไทยคาดว่าปีนี้จะมียอดจดทะเบียนรถ EV ราว 200,000 คัน และภายในปี 2030 คาดว่าจะเพิ่มเป็น 300,000 คัน ทำให้มีความต้องการสถานีชาร์จเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ซึ่งจากข้อมูลอินไซท์ของผู้บริโภค มองว่าปัจจุบันสถานีชาร์จยังไม่เพียงพอ ใช้เวลาในการชาร์จนานตั้งแต่ 15 นาที - 2 ชั่วโมงขึ้นอยู่กับกำลังไฟ และมีความยุ่งยากในการใช้บริการสถานีชาร์จสาธารณะ
บริษัทในฐานะผู้นำอันดับ 1 ที่มีส่วนแบ่งจากตลาดรวมสถานีชาร์จ ร้อยละ 48 มุ่งให้บริการด้านการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร ซึ่งจากการศึกษาข้อมูลเชิงลึก (Insight) ที่เกี่ยวข้องกับความต้องการในการชาร์จรถ EV พร้อมนำนวัตกรรมการบริการระดับโลก เพื่อนำมายกระดับประสบการณ์การชาร์จ EV ให้แก่ผู้ใช้งานในไทยทุกรายในปี 2567 นี้ ภายใต้แนวคิด “REVERSHARGER ครบ-สะดวก-สบาย” โดยหัวใจหลักของแนวคิดดังกล่าว ได้แก่
1. ครบจบทุกการชาร์จ (Complete) มีบริการที่ครอบคลุมความต้องการของลูกค้ารายย่อยและองค์กรธุรกิจ ตั้งแต่การขายและติดตั้ง EV Charger ให้แก่เจ้าของบ้านและผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย การติดตั้งและให้บริการสถานีชาร์จสาธารณะ และบริการเปลี่ยนผ่านระบบรถขององค์กร จากรถเครื่องยนต์สันดาปสู่การใช้รถ EV
โดยที่ผ่านมา บริษัทได้ผนึกกำลังกับพันธมิตรหลายรายเพื่อขยายการบริการให้ผู้บริโภคอย่างทั่วถึง อาทิ การติดตั้ง EV Charger ให้แก่บ้านในโครงการใหม่ของแสนสิริ, เอสซี แอสเสท ตลอดจนบ้านของผู้ซื้อรถยนต์ BYD จากเรเว่ ออโตโมทีฟ การติดตั้งสถานีสาธารณะในห้างสรรพสินค้า และแหล่งไลฟ์สไตล์ที่สำคัญ
2. สะดวกทุกเส้นทาง (Coverage) คำนึงถึงความสะดวกในการชาร์จรถ EV สำหรับผู้เดินทางระหว่างจังหวัด โดยจับมือสถานีบริการพลังงานของบางจาก และโชว์รูม BYD ทุกแห่ง ติดตั้งสถานีชาร์จสาธารณะในสถานีพลังงานและโชว์รูมและให้ครอบคลุมการเดินทางไปสู่ทุกภูมิภาค ทั้งภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก รวม 68 จังหวัด 582 สถานี 2,012 หัวชาร์จภายในปีนี้ เพื่อให้ผู้ขับขี่ EV มีจุดชาร์จทุกระยะ 160 กม. โดยมีสถานีชาร์จความเร็วสูง DC Charger ความเร็วสูงสุด 360kW ให้บริการ สามารถชาร์จเพียง 10 นาที เดินทางได้สูงสุด 100 กม. อำนวยความสะดวกและสร้างความอุ่นใจในการเดินทาง
3. สบายชาร์จง่ายทุกคัน (Convenient) ออกแบบบริการก่อนการชาร์จ ระหว่างการชาร์จ และหลังการชาร์จ ด้วยการนำเทคโนโลยีที่มีการใช้งานในระดับโลก มาต่อยอดกับบริการของ REVERSHARGER เพื่อให้ผู้บริโภคสบาย ใช้ง่ายในทุกขั้นตอน อาทิ
Trip Planning ใช้แผนที่จาก Google Maps เชื่อมโยงเข้าสู่แอป REVERSHARGER เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาเส้นทางจากจุดเริ่มต้นไปยังจุดหมายปลายทาง พร้อมทั้งแนะนำสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ที่อยู่บนเส้นทางหรือบริเวณใกล้เคียงการเดินทางไปยังจุดหมาย อำนวยความสะดวกให้หาจุดชาร์จได้ง่ายและเดินทางได้อย่างมั่นใจ
Plug & Charge สร้างประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้า ด้วยวิธีชาร์จที่ง่ายดายยิ่งขึ้น เพียงลงทะเบียนเข้าใช้งานครั้งแรกครั้งเดียวที่สถานีชาร์จ เพื่อบันทึกข้อมูลแบรนด์และรุ่นของรถ รวมถึงช่องทางชำระเงินในฐานข้อมูล ให้ผู้ใช้งานสามารถนำหัวชาร์จเสียบเข้ากับรถ EV เพื่อเติมพลังงานได้ทุกแบรนด์รถเป็นครั้งแรกในไทย ชำระค่าบริการได้อัตโนมัติเมื่อชาร์จเสร็จในครั้งต่อไปได้ทุกสถานีในเครือข่าย และชำระเงินได้ง่าย ด้วยช่องทางการชำระเงินผ่านทั้งบัตรเครดิต บัตรเดบิต และสิทธิพิเศษจากพันธมิตร เช่น Shell Go+, The 1, KTC, Krungsri Auto สำหรับแลกคะแนนในการชำระเงินค่าบริการชาร์จรถ EV
“ตลาดรถ EV กำลังโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีความต้องการใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง ผู้ขับขี่ EV ต้องการผู้ที่เข้าใจ Pain Point เข้าใจ Customer Journey ของผู้ขับขี่ และเข้าใจภาพรวมของโครงสร้างพื้นฐาน มาช่วยสร้างสรรค์ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น เราเชื่อว่าด้วยประสบการณ์ที่ครบวงจรของเรา ด้วย Insight ที่เรามี และด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีให้สอดคล้องกับมาตรฐานระดับโลกเป็นเจ้าแรกในไทย จะช่วยให้เรายกระดับประสบการณ์การชาร์จ EV ที่ครบ สะดวก สบาย ได้ตามเป้าหมาย และในอนาคตจะเชื่อมโยงเครือข่ายกับผู้ให้บริการรายอื่น เพื่ออำนวยความสะดวกลูกค้าให้ง่ายที่สุด” พีระภัทรกล่าว
พีระภัทร เผยด้วยว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างการศึกษาแผนเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเพื่อระดมทุนในการขยายธุรกิจ และอีกส่วนเป็นการขอบคุณผู้ถือหุ้นที่มีส่วนผลักดันให้บริษัทเติบโต โดยชาร์จ แมเนจเม้นท์ เปิดดำเนินธุรกิจมา 6 ปี มีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง โดยช่วง 3 ปีแรก ธุรกิจเติบโต 2 เท่า 2 ปีต่อมา ธุรกิจเติบโต 5 เท่า และปีที่ผ่านมาธุรกิจเติบโตถึง 10 เท่า หลังได้กลุ่มเรเว่ ออโตโมทีฟ เข้ามาเป็นพันธมิตร ทำให้บริษัทมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และมีแนวโน้มขยายธุรกิจตามพันธมิตร ทั้งการติดตั้งสถานีชาร์จสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับองค์กร และรถเพื่อการพาณิชย์ต่อไป
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : "AssetWise" ผนึกกำลัง "MEA" ตอบโจทย์ลูกบ้านรับเทรนด์ EV ติดตั้งเครื่องชาร์จในโครงการ
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine
