ลัมโบร์กินี (Lamborghini) เผยโฉม Temerario ซูเปอร์สปอร์ตคาร์ล่าสุดที่มาพร้อมระบบส่งกำลังไฮบริดรูปแบบใหม่ ซึ่งเกิดจากการผสานเครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว มอบกำลังเครื่องยนต์รวมถึง 920 CV เป็นเครื่องยนต์ซูเปอร์สปอร์ตคาร์รุ่นแรกและรุ่นเดียวในการผลิตที่สามารถทำความเร็วรอบได้สูงถึง 10,000 รอบต่อนาที มีความเร็วสูงสุดมากกว่า 340 กิโลเมตร/ชั่วโมง สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ในเวลาเพียง 2.7 วินาที
หัวใจสำคัญที่ลัมโบร์กินียึดมั่นมาโดยตลอดคือระบบขับเคลื่อน ซึ่งในรถยนต์รุ่นใหม่อย่าง Temerario ลัมโบร์กินีได้เปลี่ยนมาใช้แนวทางใหม่ทั้งหมดโดยผ่านการพัฒนากว่า 5 ปี เพื่อสร้างสรรค์ระบบส่งกำลังของซูเปอร์สปอร์ตคาร์ที่ไม่เคยมีมาก่อน จนได้ระบบส่งกำลังแบบใหม่ที่ประกอบด้วยคอนเซ็ปต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engine) แบบเทอร์โบคู่ที่มีรอบการหมุนสูง ที่ผสานเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว
“เราต้องการพัฒนาเครื่องยนต์สปอร์ตคาร์สมรรถนะสูงที่ไร้คู่แข่ง โดยรวมสิ่งที่ดีที่สุดทั้งสองระบบเข้าด้วยกัน นั่นคือเครื่องยนต์สันดาปพร้อมเทอร์โบคู่ V8 และระบบพลังงานไฟฟ้า แนวคิดของเราในการผสานมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัวเข้ากับเครื่องยนต์สันดาปยังทำให้เรามั่นใจว่าจะสามารถสร้างอัตราการเร่ง และระบบชาร์จพลังงานกลับได้อย่างฉับไว การเปิดตัว Temerario จึงทำให้เรามอบนิยามใหม่ให้กับสุดยอดรถยนต์ในเซกเมนต์นี้” รูเว็น โมห์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิค ลัมโบร์กินี กล่าว
ระบบส่งกำลังรูปแบบใหม่ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของซูเปอร์สปอร์ตคาร์รุ่นที่สองในกลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง (HPEV) ของลัมโบร์กินี โดยเป้าหมายแรกคือการบรรลุถึงกำลังเครื่องยนต์และแรงบิดจำเพาะในระดับสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ขณะดียวกันก็ต้องมีการตอบสนองในแบบฉบับเครื่องยนต์ไร้ระบบอัดอากาศรอบสูงแบบดั้งเดิม
ดังนั้น ทีมวิศวกรจึงคัดสรรเฉพาะองค์ประกอบประสิทธิภาพสูงสำหรับระบบขับเคลื่อนรูปแบบใหม่ ซึ่งได้แก่เครื่องยนต์เทอร์โบคู่ V8 ขนาด 4.0 ลิตรแบบใหม่ที่มีกำลังเครื่องจำเพาะที่ 200 แรงม้าต่อลิตร โดยทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบระบายความร้อนด้วยน้ำมันที่ผสานการทำงานได้อย่างสมบูรณ์กับตัวเครื่องยนต์ V8 พร้อมด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวที่เพลาหน้าที่ช่วยส่งกำลังขับเคลื่อน
เสียงเครื่องยนต์สุดกระหึ่ม
ลัมโบร์กินีได้ทุ่มเทและพยายามทางเทคนิคเป็นอย่างมาก เพื่อการพัฒนาประสบการณ์เสียงที่โดดเด่นอย่างมีเอกลักษณ์จากระบบขับเคลื่อนใหม่ใน Temerario เพื่อให้นักขับมั่นใจได้ถึงประสบการณ์เสียงและโสตสัมผัสอย่างเต็มเปี่ยมทุกอารมณ์ในแบบฉบับลัมโบร์กินีอย่างแท้จริง
การสร้างสรรค์คุณภาพของเสียงสุดพิเศษนี้จำเป็นต้องอาศัยความซับซ้อนทางเทคนิคอย่างมหาศาล และเพื่อให้แน่ใจว่าเมื่อเร่งความเร็วสูงสุดที่ 10,000 รอบต่อนาที เครื่องยนต์จะให้เสียงกระหึ่มแบบสปอร์ตคาร์อย่างเต็มอารมณ์ ลัมโบร์กินีจึงได้ผสานวิธีการทางเทคนิคต่างๆ และยังเสริมคุณภาพด้วยเอฟเฟกต์เสียงความถี่สูงขั้นสุด
การเชื่อมต่อแบบพิเศษระหว่างแถวเครื่องยนต์จะช่วยเพิ่มเอฟเฟกต์เสียงของชุดส่งกำลังที่แปรผันตามความเร็ว ระบบเก็บเสียงและวาล์วไอเสียของเครื่องเทอร์โบคู่ V8 ยังทำงานในช่วงรอบต่ำ เพื่อปรับปรุงเรื่องเสียงรบกวนให้น้อยที่สุด โดยเมื่อเปลี่ยนโหมดการขับขี่ ก็จะสัมผัสได้ถึงการปรับจูนเสียงในรูปแบบที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
ระบบไอเสียที่ทอดตัวจากท่อรวมไปยังท่อไอเสียจะช่วยขับเน้นเสียงของกระบวนการเผาไหม้ในเครื่องยนต์ โดยลัมโบร์กินีสร้างคุณภาพเสียงที่ชัดใสและสะอาดด้วยการเดินแนวท่ออย่างไหลลื่น การกำหนดระดับความสูงและตำแหน่งของปลายท่อไอเสียอย่างพิถีพิถันยิ่งขับเน้นเสียงความถี่สูงอันเฉียบคมของเครื่องยนต์อีกด้วย
นอกจากนี้ ระบบเสียง Symposer ที่ติดตั้งเพิ่มเติมจะปล่อยคลื่นเสียงเข้าสู่ภายในรถ เพื่อสร้างประสบการณ์เสียงอันดื่มด่ำในทุกโหมดการขับขี่
ดีไซน์สุดไอคอนิก
ด้านการออกแบบ เมื่อมองแวบแรก Temerario สื่อถึง DNA ในแบบฉบับของลัมโบร์กินีได้อย่างเด่นชัดทั้งในแง่เส้นสายที่โฉบเฉียบ ไปจนถึงการผสมผสานของระบบอากาศพลศาสตร์ได้อย่างยอดเยี่ยม
ภายนอกสะดุดตาแม้มองจากกระยะไกลด้วยไฟส่องสว่างดีไซน์หกเหลี่ยม รูปทรงทางเรขาคณิตที่เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์อันโดดเด่นที่สุดของลัมโบร์กินีมาตั้งแต่ทศวรรษ 1960 ขณะที่ห้องโดยสารภายในหยิบเอาปรัชญาอย่าง “Feel like a pilot” มานำเสนอใหม่ได้อย่างน่าสนใจ
ยิ่งไปกว่านั้น Temerario ยังมอบประสบการณ์ที่ล้ำสมัยที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ของลัมโบร์กินี ด้วยการเปิดตัวระบบ Lamborghini Vision Unit ซึ่งช่วยให้ผู้โดยสารสามารถเข้าถึงฟังก์ชันและแอปพลิเคชันใหม่ๆ ได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังทำให้ผู้ใช้สามารถย้อนดูและแบ่งปันประสบการณ์การขับขี่ที่ผ่านมา ทั้งในสนามแข่งขันและบนถนนของตนให้แก่คนอื่นได้
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : Mercedes Benz เปิดตัวรถสปอร์ต The new CLE Coupe ประเดิม 2 รุ่น เริ่มต้น 3.95 ล้านบาท
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine