จากภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวประกอบกับตลาดรถยนต์ไฟฟ้า EV เริ่มแข่งขันเดือด เห็นได้จากแบรนด์รถยนต์ค่ายต่างๆ โดยเฉพาะแบรนด์จีนเริ่มเข้ามาตีตลาดในไทย ส่งผลกระทบให้ยอดขายรถฮอนด้าไม่เติบโตเท่าที่ควร ล่าสุดเตรียมปิดไลน์ผลิตรถยนต์ในโรงงาน จ.พระนครศรีอยุธยา แล้วนำไปรวมกับไลน์ผลิตในโรงงาน จ.ปราจีนบุรี ภายในปี 2568
เมื่อวันอังคารที่ 9 ก.ค. 2567 ที่ผ่านมา ทาง บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ได้ออกมาประกาศ ‘การปฏิรูปฟังก์ชันสายการผลิตรถยนต์ของไทย’ โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการดำเนินการผลิตรถยนต์สำเร็จรูป รวมถึงเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่ xEV หรือการนำพลังงานไฟฟ้าเข้ามาใช้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า ที่ผ่านมารถยนต์ในกลุ่ม "e:HEV series" ซึ่งเป็นระบบฟูลไฮบริดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของฮอนด้า มีสัดส่วนยอดขายเติบโตขึ้นอย่างมาก โดยตัวเลขผลประกอบการปี 2566 รถในกลุ่มนี้มีสัดส่วนการขาย 32% ซึ่งในปี 2567 นี้ ฮอนด้าตั้งเป้าจะเพิ่มสัดส่วนขึ้นอย่างก้าวกระโดดให้เป็น 70% อีกดด้วย
นอกจากนี้ เพื่อความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ ทางฮอนด้ามีแผนปฏิรูปโรงงานในไทยซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 2 แห่ง ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยโรงงาน จ.ปราจีนบุรี จะพัฒนาให้เป็นฐานการผลิต และส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป (CBU) ที่สมบูรณ์แบบ โดยการใช้ประโยชน์จากสายการผลิตที่ผสมผสานเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีความสามารถในการรองรับธุรกิจ ขณะที่โรงงาน จ.พระนครศรีอยุธยา วางแผนจะหยุดทำการผลิตรถยนต์ภายในปี 2568 และย้ายกำลังการผลิตทั้งหมดไปรวมไว้ที่โรงงาน จ.ปราจีนบุรีแทน
ด้าน สำนักข่าว Nikkei Asia ได้รายงานถึงประเด็นนี้ว่า การตัดสินใจดังกล่าวของฮอนด้าในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงสภาวะการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 2 ของญี่ปุ่น ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเป็นผลกระทบมาจากแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจากจีนกำลังรุกเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดในประเทศไทยอย่างหนัก จากการดึงดูดผู้บริโภคด้วยรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดที่มาพร้อมซอฟต์แวร์อันทันสมัยและยังมีมีราคาถูก จึงส่งผลให้ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าของผู้บริโภคไทยในปัจจุบันเริ่มขยับตัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม โฆษกของฮอนด้า ยังระบุด้วยว่า ฮอนด้าได้ส่งออกรถที่ผลิตจากโรงงานในไทย ไปยังตลาดอื่นๆ ในอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ แต่ทั้งนี้ จะยังไม่มีแผนการลงทุนใหม่ๆ เพิ่มขึ้นในประเทศไทย โดยที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า ยอดการผลิตรวมของทั้ง 2 โรงงาน นับตั้งแต่ปี 2562-2566 หรือ 4 ปีหลังมานี้ มีจำนวนการผลิตรถลดลงจาก 228,000 คัน เหลือเพียงไม่ถึง 150,000 คันต่อปี อีกทั้ง ตัวเลขยอดขายรถยนต์ในประเทศไทยช่วง 4 ปีหลังสุดนี้ ยังต่ำกว่า 100,000 คันต่อปี
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : เปลี่ยนชื่อใหม่สู่ Volvo EC40 และ EX40 พร้อมเปิดตัว Black Edition ราคารุ่นพิเศษเริ่ม 2.39 ล้านบาท
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine